T F
A
ประวัติศาสตรวัฒนธรรม ความเปนมาและแนวคิด
D
R
วิศรุต พึ่งสุนทร
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม:
T
ความเป็ นมาและแนวคิด
F
รายงานวิจยั
A
พัฒนาการและแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม
D
R
วิศรุต พึง่ สุนทร
งานวิจยั นี้ได้รบั ทุนสนับสนุ นจากโครงการวิจยั เพื่อสร้างและพัฒนาองค์ความรูใ้ นสาขาวิชา
ภาควิชาประวัตศิ าสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจําปี งบประมาณ 2557
1
สารบัญ บทนํา ............................................................................................................................................... 4 ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมช่วงเริ่ มแรก ............................................................................................. 6 มนุ ษยนิยมเรอเนสซองส์กบั ประวัตศิ าสตร์ภาษา วรรณกรรมและศิลปะ .............................. 6 ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมต้นยุคแสงสว่าง ......................................................................... 11
T
วอลแตร์กบั ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมยุคแสงสว่าง............................................................. 16 Kulturgeschichte : ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในเยอรมนี .................................................. 19
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในศตวรรษที่ 19 .................................................................................... 27 วิกฤตกับวัฒนธรรม: ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมของยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์............................ 29
F
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมปลายศตวรรษที่ 19: Methodenstreit ......................................... 35 โยฮัน ฮุยซิงกากับประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมใหม่............................................................... 40
A
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมกับประวัติศาสตร์สงั คม ........................................................................ 45 ทฤษฏีและประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมช่วงครึง่ แรกของศตวรรษที่ 20 ................................... 46 อานาลส์กบั วัฒนธรรม : มาร์ค โบลค, ลุเซียง เฟบวร์ และ เฟอร์นานด์ โบรเดล ................ 50 Histoire des Mentalité และการกลับมาของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในฝรังเศส ่ ............... 57
R
นักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์กบั วัฒนธรรม : เอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั ....................................... 63
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมปลายศตวรรษที่ 20: “the Cultural Turn”............................................ 69 ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในฝรังเศส ่ ................................................................................. 70
D
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมกับความหมาย: the New Cultural History ................................ 74 จุลประวัตศิ าสตร์ (Microstoria) ในอิตาลี ......................................................................... 81 ประวัตศิ าสตร์ชวี ติ ประจําวัน (Alltagsgeschichte) ........................................................... 87
สรุป: แนวคิ ดสําคัญในประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม ......................................................................... 90 แนวคิดเรือ่ งยุค .............................................................................................................. 91 ความเข้าใจความคิดและความรูส้ กึ ในอดีต (empathy) ..................................................... 93 แนวคิดเรือ่ งวัฒนธรรม ................................................................................................... 94 2
นิยามของวัฒนธรรม....................................................................................................... 96
D
R
A
F
T
บรรณานุกรม ............................................................................................................................... 101
3
บทนํา
F
T
แม้ก ระแสการหัน มาสนใจมิติทางวัฒนธรรมหรือ “cultural turn” ในโลกวิชาการด้า น ประวัตศิ าสตร์จะเป็ นปรากฏการณ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็ นกระแสทีน่ ักวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ หันไปหาประเด็นศึกษา คําถามและวิธกี ารที่ต่างจากประวัตศิ าสตร์สงั คมกระแสหลัก แต่คําว่า “ประวัติ ศาตร์วฒ ั นธรรม” ซึง่ เป็ นทัง้ คําจํากัดความข้อเขียน ความเชีย่ วชาญทางวิชาการหรือแนวทางการค้นคว้า ยัง คงขาดซึ่ง ลัก ษณะร่ ว มที่ช ัด เจน ไม่ ว่ า จะเป็ น สิ่ง ที่ศึก ษาหรือ วิธ ีก าร กล่ า วคือ ยัง คงคลุ ม เครือ เช่ นเดียวกับนิ ยามของคําว่ า “วัฒนธรรม” ความคิด ที่ว่ าวรรณกรรม ศิล ปะ ภาษาและปรัชญาควรมี ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์เป็ นของตัวเองนัน้ มีมาตัง้ แต่ยุคเรอเนสซองส์ แต่ความสนใจมิตทิ างประวัตศิ าสตร์ ของผลผลิต ทางวัฒนธรรมก็ยงั ถือเป็ น “ส่ ว นเสริม” ของความรู้ใ นด้านนัน้ ๆ ส่ วนวลี “ประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรม” หรือ Kulturgeschichte ในภาษาเยอรมันปรากฏขึน้ ราวปลายศตวรรษที่ 18 ซึง่ ส่วนหนึ่งของ ความสนใจต่อวัฒนธรรมของกระแสโรแมนติกในเยอรมนี 1 นักประวัตศิ าสตร์อย่าง ยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์ (Jacob Burckhardt), คาร์ล แลมเปรคช์(Karl Gotthard Lamprecht) และโยฮัน ฮุยซิงกา(Johan Huizinga) ที่พยายามยืนยันความสําคัญของประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมโดยใช้การตีความเชิงปรัชญา จิตวิทยาและสังคมวิทยาเป็ นต้น จนถึงประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์ท่มี อี ิทธิพลอย่างสูงในการท้าทาย ประวัติศ าสตร์การเมือ ง และการเกิด ขึ้นของ “new cultural history” ที่รบั เอากรอบแนวคิด จาก มานุ ษยวิทยา ตลอดมาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมวางตนเองว่าเป็ นสาขาที่มกี ารริเริม่ ทางกรอบแนวคิด และระเบีย บวิธ ีศึก ษาวิจ ัย อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง อีก ทัง้ ในสาขาวิช าการด้า นต่ า งๆ ของมนุ ษ ยศาสตร์แ ละ สังคมศาสตร์ตลอดศตวรรษที่ 19 และ 20 มีการสร้าง ปรับและรือ้ นิยามของคําว่า “วัฒนธรรม” หลายครัง้ อีกทัง้ ยังมีแนวคิดหลากหลายทีอ่ ธิบายถึงความเปลีย่ นแปลง พัฒนาการและพลวัตของวัฒนธรรมของแต่ ละช่วงเวลาทางประวัตศิ าสตร์
R
A
0
D
ั นธรรม” (cultural history) นัน้ มีจาํ นวน ในปจั จุบนั ข้อเขียนทีถ่ ูกจัดประเภทว่า “ประวัตศิ าสตร์วฒ มากที่ถูกเขียนขึน้ โดยนักวิชาการที่โดยความเชี่ยวชาญไม่ใช่นักประวัตศิ าสตร์ เช่นมีนักวิชาการด้าน วรรณคดีว ิจารณ์ แ ละวัฒนธรรมศึก ษาจํานวนไม่ น้อ ยที่มขี ้อ เขีย นที่ถู ก จัด อยู่ใ นหมวดดัง กล่ า ว ซึ่ง มี คุณูปการต่อการศึกษาเชิงประวัตศิ าสตร์อย่างสูง เช่น เอ็ดวาร์ด ซาอิด(Edward Said) และสตีเฟน กรี นบลัทท์(Stephen Greenblatt) ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมจึงไม่ได้อยู่ในสถานะเป็ นสาขาย่อยภายใต้
1
เช่น Johann Christophe Adelung ตีพมิ พ์ขอ้ เขียน Versuch einer Geschichte der Kultur des menschlichen Geschlechts (1782) และ Johann Gottfried Eichhorn ตีพมิ พ์ Allgemeine Geschichte der Cultur und Literatur des neuern Europa (1796–1799)
4
F
T
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ได้อย่างสะดวกใจนัก เนื่อ งจากลักษณะของการตีความในหลายประเด็นที่ ค่อนข้างขัดกับจารีตทางวิธกี ารของประวัตศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอยู่ทช่ี ายขอบของความเป็ น สถาบัน ตลอดมาไม่เ คยมีส ถานะภาพเป็ น “สํานัก ” ที่ยงยื ั ่ นนัก ในช่ ว งศตวรรษที่ 19 ซึ่ง วิชาการ ประวัตศิ าสตร์เชิงวิทยาศาสตร์ถูกสถาปนาขึ้นในเยอรมนีตามที่เลโอโปลด์ ฟอน รังเก (Leopold von Ranke) ริเริม่ เอาไว้ ซึ่งให้ความสําคัญกับหลักฐานราชการถูกมองว่าเป็ นประวัติศาสตร์แท้ กลุ่มของ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั ธรรมถูกโจมตีอย่างหนักจนเกือบหมดทีท่ างในมหาวิทยาลัย ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ไม่ เ คยได้รบั การสถาปนาขึ้น เป็ นสาขาวิช าหรือ เป็ นสํ านั ก ต่ า งจากสาขาย่อ ยดัง เช่ น ประวัติศ าสตร์ เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์สงั คม ประวัติศ าสตร์วทิ ยาศาสตร์ ประวัติศ าสตร์ภูมปิ ญั ญา ฯลฯ อีกทัง้ มีผู้ ศึกษาค้นคว้าทีอ่ ยูน่ อกวงวิชาการมาอย่างต่อเนื่อง สิง่ นี้มสี ่วนทําให้การทําความเข้าใจลักษณะสําคัญและ พัฒนาการของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมจึงไม่ใช่เพียงดูกลุ่มก้อนหรือ “สกุล” ทางความคิด แต่เป็ นการทํา ความเข้าใจบริบททางความคิดที่อ ยู่รอบงานชิ้นสําคัญ ๆ ข้อ เขียนชิ้นนี้ จะชี้ให้เ ห็นว่ าประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมพัฒนาขึน้ มา ไม่ได้อยูบ่ นรากฐานของความเป็ นสาขาวิชาหรือสถาบัน หากแต่มอี ยู่ท่ามกลาง ความขัดแย้งทัง้ ทางกรอบวิธแี ละทางอุดมการณ์
D
R
A
ลัก ษณะความเป็ น ป จั เจกที่ สู ง และการไร้ ซ่ึ ง ที่ ท างเชิ ง สถาบัน นี้ เป็ น ส่ ว นสํ า คั ญ ทํ า ให้ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมีความหลากหลายทางวิธกี ารและสิง่ ที่ศกึ ษาสูง อาจเรียกว่าสูงถึงระดับทีไ่ ม่ม ี ประโยชน์ ท่ีจ ะจัด รวมกัน ภายใต้ ห มวดหมู่ข องแนวทางงานเขีย นหรือ การค้ น คว้ า เดีย วกัน คํ า ว่ า “ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม” เป็ นคําทีม่ ขี น้ึ ภายหลัง อีกทัง้ มีงานหลายชิน้ ทีย่ ากจะจัดอยู่ภายใต้หมวดหมู่น้ี ทัง้ จากเจตนาของนั ก ประวัติ ศ าสตร์ เ องที่ จ งใจหลี ก เลี่ ย งคํ า ว่ า วั ฒ นธรรมในงาน หรื อ รู้ ส ึ ก ว่ า “ประวัตศิ าสตร์สงั คม” สํานักของตนครอบคลุมสิง่ ทีต่ นศึกษาและวิธกี ารศึกษาได้ดอี ยู่แล้ว อีกทัง้ ยังนัก ประวัตศิ าสตร์สงั คมทีส่ นใจมิตทิ างวัฒนธรรมและมีคุณูปการอย่างสูงต่อแนวทางในการอธิบายวัฒนธรรม เนื่ อ งจากประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมไม่มที ่ที างในสถาบันหรือกรอบจํากัด ความเป็ นสาขาวิชา ทําให้ม ี แนวโน้มทีจ่ ะหยิบยืมเอาทฤษฎีและกรอบการวิเคราะห์วฒ ั นธรรมมาจากมนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาอื่นๆ วัตถุ ประสงค์สําคัญ ของข้อ เขียนชิ้นนี้ค ือการอภิปรายถึง การที่นัก ประวัติศาสตร์นิยาม วัฒนธรรมหรือผลผลิตทางวัฒนธรรม รวมถึงแนวคิดว่าด้วยวัฒนธรรม กรอบในการอธิบายกลไกทีน่ ํ ามา ซึง่ ความเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม กรอบการตีความวัฒนธรรม การทํางานของวัฒนธรรม ซึง่ มีความ หลากหลายสูง
5
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมช่วงเริ่ มแรก
1
A
F
T
การทีจ่ ะชีล้ งไปว่าประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมีจุดเริม่ ต้นทีใ่ ดช่วงเวลาใด และจะชีว้ ่าใครเป็ นบิดา ของประวัติศ าสตร์ว ัฒนธรรมคงเป็ น ไปได้ยาก เนื่ อ งจากประวัติศ าสตร์ว ัฒนธรรมไม่ เ คยได้ร บั การ สถาปนาเป็ นประเภทของข้อเขียนเช่น historia อีกทัง้ คําว่า “culture” หรือคําทีม่ คี วามหมายครอบคลุม เทียบเท่าก็เกิดขึน้ ค่อนข้างช้า แม้ว่าข้อเขียนเรื่องวรรณกรรม คติชนและขนบธรรมเนียมประเพณีจะมีมา ตัง้ แต่ ยุคคลาสสิก แต่ ความสนใจจะอยู่ท่ขี อ้ มูลเชิงประจักษ์ท่อี ้างถึงการสังเกตและการสอบถาม โดย ไม่ได้ให้ความสําคัญกับมิติของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ แม้ “บิดาแห่งประวัติศาสตร์” อย่างเฮโร โดตัสจะได้ช่อื ว่ามีสายตาและความเข้าใจด้านขนบธรรมเนียมประเพณีเฉียบคมเปรียบเทียบกับข้อเขียน ร่ ว มสมัย แต่ ส่ ว นที่ก ล่ า วถึง ขนบธรรมเนี ย มและคติช นแยกออกจากส่ ว นที่เ ป็ น historia หรือ ประวัตศิ าสตร์ใกล้อย่างชัดเจน โดยเป็ นเพียงการปูพน้ื ถึงชนชาติทเ่ี ข้ามามีส่วนในสงคราม หรือหากมอง อย่างวิจารณ์กอ็ าจกล่าวว่าเป็ นส่วนเพื่อสร้างความบันเทิง ก่อนนําเข้าสู่ช่วงสงครามอันเคร่งเครียด 2 แม้ ข้อ เขียนและความสนใจต่ อวัฒนธรรมจะมีมาอย่างต่ อเนื่ อ งควบคู่กบั ข้อ เขียนประวัติศาสตร์ แต่ ก าร แยกตัวของเนื้อหาด้านวัฒนธรรมกับเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ดําเนินมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็ น ข้อเขียนของนักเขียนคนเดียวกันหรืองานชิน้ เดียวกันก็ตาม ข้อเขียนทีเ่ ข้าข่ายประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม เกิดขึน้ ค่อนข้างช้า แต่ความสนใจต่อผลงานและผลผลิตทางวัฒนธรรมในยุคเรอเนสซองส์ เริม่ ผนวกเข้า กับการลําดับความเป็ นไปหรือพัฒนาการ
R
มนุษยนิ ยมเรอเนสซองส์กบั ประวัติศาสตร์ภาษา วรรณกรรมและศิ ลปะ
D
การรือ้ ฟื้นวรรณกรรมและความรูจ้ ากยุคคลาสสิกเป็ นปจั จัยสําคัญสู่ความสนใจทางประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมของยุคนัน้ เนื่องจากมองว่าคุณค่าอยู่ทว่ี รรณกรรมกรีกและโรมัน และมองว่าสมัยของตนเป็ น สมัยแห่งการฟื้ นฟูความรูเ้ หล่านัน้ การแบ่งยุคเพื่อให้คุณค่าในทางวัฒนธรรมจึงเกิดขึน้ พร้อมกับแนวคิด ว่ายุคที่คนกลางระหว่ ั่ างความรุ่งเรืองแห่งยุคคลาสสิกและสมัยของตนว่าเป็ น “ยุคมืด” (Dark Ages) ตามที่เปตราก (Petrarch) เรียก แนวคิด การแบ่ งยุค ทางวัฒนธรรมดังกล่ าวส่ ง ผลให้เ กิด ทัศ นะว่ า วรรณกรรมกรีกและโรมันมาจากอดีตทีม่ วี ฒ ั นธรรมแตกต่างจากสมัยกลางและยุคสมัยของตน นักมนุ ษย
2
วิศรุต พึง่ สุนทร, ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที ่ 20 (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2556), 30.
6
นิยมเรอเนสซองส์จงึ มองว่าภาษา วรรณกรรมและปรัชญามีประวัติศาสตร์ของตนเอง ประวัติศาสตร์ วรรณกรรมและภาษาจึงเป็ นองค์ความรูส้ ําคัญของนักมนุ ษยนิยมสมัยนัน้
F
T
นักมนุ ษยนิยมในอิตาลีศตวรรษที่ 15 และ 16 ให้ความสําคัญกับรูปแบบภาษาละตินเป็ นภาษา ทางการประพันธ์ โดยหันไปศึกษาการใช้ภาษาดัง้ เดิมทัง้ ในแง่การเขียนและการพูด โดยค้นกลับไปดูว่า ในยุคโบราณเขียนและพูดกันอย่างไร จากการวิจารณ์ ตดั สินคุณค่าของภาษาและวรรณกรรม ภาษา ละตินมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย นักมนุ ษยนิยมเรอเนสซองส์ทําความเข้าใจเชิงลึกว่าภาษา ละติ น ในโรมัน โบราณสมัย ต่ า งๆ มี ล ัก ษณะเช่ น ใด โดยการศึ ก ษาทางประวั ติ ศ าสตร์ ใ นด้ า น ขนบธรรมเนียม ประเพณีและค่านิยมของแต่ละยุคสมัยเป็ นข้อมูลสําคัญในการวิจารณ์และประเมินคุณค่า ของวรรณกรรมและรูปแบบภาษาประวัตศิ าสตร์เป็ นอย่างไร ต่อมาความสนใจในพัฒนาการของภาษา ในทางประวัตศิ าสตร์นนั ้ ขยายไปสู่ภาษาอิตาลี ฝรังเศส ่ อังกฤษ สเปน โปรตุเกสและเยอรมัน ตามความ สนใจของนักมนุ ษยนิยมแต่ละท้องถิน่ ซึง่ ได้พฒ ั นาต่อมาเป็ นประวัตศิ าสตร์วรรณกรรมของแต่ละชนชาติ และประวัตศิ าสตร์ของรูปแบบวรรณกรรม (literary genre) ทีแ่ พร่หลายต่อมาในศตวรรษที่ 17 และ 183
R
A
อีกทิศทางของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมาจากความสนใจด้านศิลปะและดนตรี แม้ว่านักมนุ ษย นิยมในยุคแรกส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับงานศิลปะ ทัง้ จิตรกรรม ประติมากรรมและสถาปตั ยกรรม มากนัก และศิลปิ นส่วนใหญ่กข็ าดทักษะในการค้นคว้าเชิงประวัตศิ าสตร์ Le Vite de' più eccellenti pittori, scultori, e architettori (Lives of the Painters, sculptors and Architects) ของจอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ซึ่งตีพมิ พ์เผยแพร่ในปี 1550 ถือเป็ นข้อยกเว้น วาซารีกล่าวว่าเป้าหมายสําคัญคือ เพื่อให้ศลิ ปิ นรุ่นหลังได้เรียนรูจ้ ากตัวอย่างของศิลปิ นที่ยงิ่ ใหญ่รุ่นก่อนๆ อีกทัง้ ทําความเข้าใจทิศทาง ของศิลปะในภาพรวม วาซารีกล่าวถึงสาเหตุสําคัญของความก้าวหน้ าทางศิลปะว่าเป็ นผลมาจากการ แข่งขันทางเศรษฐกิจของศิลปินเพื่อให้ได้รบั การอุปถัมภ์และตลาดศิลปะ 4 เนื่องจากผูเ้ ขียนข้อเขียนชิน้ นี้ อุทศิ ให้โกซีโมที่ 1 เด เมดีชี (Cosimo I de' Medici) แกรนด์ดยุกแห่งทัสคานี และตีพมิ พ์โดยช่างพิมพ์ใน
D
3
3
ตัวอย่างงานเขียนทีเ่ ข้าข่ายประวัตศิ าสตร์ภาษาและวรรณกรรมในลักษณะนี้ได้แก่ Adriano Castellesi, De Sermone Latino (1516); Petro Bembo, Prose della volgar lingua (1525); Etienne Pasquier, Recherches de la France (1566); Claude Fauchet, Origines de la langue et poesies Francoises (1581); George Puttenham, The Arts of English Poesies (1589); Bernardo Aldrete, Del origen y principio de la lengua castellana (1606); Duarte Nunes de Leao, Origem galingua portuguesa (1606); Daniel Morhof, Unterricht von der Teuschen Sprache und Poesie (1682) ดู Peter Burke, Varieties of Cultural History (Ithaca, N.Y.: Cornell University Press, 1997), 4-5. 4 Richard A. Goldthwaite, The Economy of Renaissance Florence (Baltimore, Md.: Johns Hopkins University Press, 2009), 39091.
7
สังกัด อีกเป้าหมายหนึ่งที่พอคาดเดาได้คอื เพื่อยืนยันและโฆษณาถึงความยิง่ ใหญ่ทางวัฒนธรรมของ นครรัฐฟลอเรนซ์ ซึง่ เป็ นนโยบายทางวัฒนธรรมของตระกูลเมดีชมี าอย่างต่อเนื่อง ข้อเขียนชิน้ นี้ได้เปิ ด ประตูส่คู วามสนใจการสร้างงานศิลปะในทางประวัตศิ าสตร์ผ่านชีวประวัตขิ องศิลปิ น มีขอ้ เขียนลักษณะ เดียวกันของที่อ่ นื ๆตามมาทัง้ ในและนอกคาบสมุทรอิตาลี 5 จนมีงานอย่าง History of Ancient Art (1764) ของโยฮันน์ โยอาคิม วิงเคลมันน์ (Johann Joachim Winckelmann) ทีท่ ําให้ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ พัฒนาเป็ นการศึกษาเฉพาะทาง 4
A
F
T
นอกจากการศึก ษาภาษาและวรรณกรรมซึ่ง เป็ นผลผลิต ทางวัฒนธรรมแล้ว ประวัติศ าสตร์ ความคิดและภูมปิ ญั ญายังได้ส่งอิทธิพลต่อประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทัง้ ในแง่ขอ้ มูลหลักฐาน การวางเค้า โครงและการวิเคราะห์ สิง่ สําคัญทีป่ ระวัตศิ าสตร์ความคิดมีคล้ายกันคือ การลดทอนความสนใจในความ เป็ นไปของเหตุการณ์เช่นสงครามและการเมืองตามแบบ istoria นอกจากนี้ยงั เป็ นการให้ความสนใจต่อ ผลงานหรือข้อเขียน ซึง่ นําไปสู่ความสนใจประวัตศิ าสตร์ของบุคคล คณะบุคคลหรือองค์กรทีเ่ ป็ นเจ้าของ หรือเกี่ยวเนื่องกับงานเขียนชิ้นนัน้ ๆ โดยอาจกล่าวได้ว่าทัง้ การฟื้ นฟูศลิ ปวัฒนธรรมในคาบสมุทรอิตาลี การปฏิ รู ป ศาสนาและการปฏิ ว ัติ ว ิ ท ยาศาสตร์ เ ป็ น ป จั จัย สํ า คัญ ที่ นํ า ไปสู่ ค วามสนใจในมิติ ท าง ประวัตศิ าสตร์ของความคิด แต่เหตุการณ์ทส่ี ร้างความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว อัน นําไปสู่การปะทุขน้ึ ของการเขียนประวัตศิ าสตร์ความคิดคงไม่พน้ การปฏิรปู ศาสนา
D
R
การโต้เ ถียงทางความคิดที่เกี่ยวกับหลักคําสอนคริสต์ศาสนาเข้มข้นขึ้นบนความขัด แย้ง ทาง ความเชื่อ ผลลัพธ์สาํ คัญอันหนึ่งคือการค้นคว้าทางประวัตศิ าสตร์เพื่ออธิบายการเปลีย่ นแปลงในหลักข้อ เชื่อ ทางศาสนา ประวัติศ าสตร์ค ริส ต์ศ าสนาเป็ นส่ ว นสําคัญ ต่ อ การเขียนประวัติศ าสตร์ท่วี างสถานะ แตกต่ างจากประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบกรีกซึ่งให้ความสําคัญกับการเมือ งและสงครามในแง่มุมความ เป็ นไปของเหตุการณ์ เป็ นที่ทราบดีว่าประวัตศิ าสตร์คริสต์ศาสนาวางเค้าโครงและข้อมูลอยู่บนไบเบิ้ล อีกทัง้ ยังให้ความสําคัญกับเหตุการณ์ทางโลกเช่นการเมืองและสงครามน้อย ประวัตศิ าสตร์คริสตศาสนา จึงถูกมองรวมๆว่ าเป็ นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับใครเขียนหรือสังสอนสิ ่ ง่ ใด มีการอภิปราย วิจารณ์ และ ประเมินคุณค่า ความสนใจต่อสิง่ ที่เป็ นความคิดและทัศนคติน้ีเองเป็ นส่วนสําคัญที่เปิ ดสู่การอภิปราย เมื่อเกิด การปฏิรูปศาสนา ฝ่ายโปรเตสแตนท์พ ยายามชี้ใ ห้เห็นถึง ความเปลี่ยนแปลงของหลัก ศาสน ศาสตร์ โดยเฉพาะในแง่ของการวิจารณ์ถึงความผิดเพี้ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของศาสนจักรใน สถานะขององค์กร ทางฝ่ายคาทอลิกเองก็ค้นคว้าทางประวัตศิ าสตร์เพื่อประณามความเชื่อนอกรีตของ
5
Burke, Varieties of Cultural History, 6.
8
T
ฝา่ ยตรงข้าม โดยเขียนประวัตศิ าสตร์ความคิดนอกรีต ในภาพรวมข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์ของทัง้ สอง ฝ่ายมีลกั ษณะของการโต้เถียงโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่คุณูปการทีส่ ําคัญของประวัตศิ าสตร์ลกั ษณะนี้ คือ การให้ค วามสําคัญกับการอภิปราย วิจารณ์ และประเมินค่าผลผลิตทางวัฒนธรรม ซึ่งส่ วนหนึ่งได้รบั อานิสงส์มาจากวิธกี ารของนักมนุ ษยนิยมเรอเนสซองส์ เพียงแต่นํามาใช้ในการประณามหลักความเชื่อ ของฝ่ายตรงข้าม อีกทัง้ ยังพัฒนาข้อเขียนทางประวัตศิ าสตร์ท่ไี ม่ได้ให้ความสนใจกับความเป็ นไปของ เหตุการณ์เช่นสงครามและการเมืองตามแบบ istoria ทีม่ ที ท่ี างอยู่แล้วในสังคมชนชัน้ ปกครอง อย่างไรก็ ดีประวัติศ าสตร์ห ลัก ข้อ เชื่อ ทางศาสนาไม่ไ ด้มพี ฒ ั นาการไปเกินกว่ า ศตวรรษที่ 16 นัก ต่ างจาก ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมและภาษา
A
F
แม้การปฏิวตั วิ ทิ ยาศาสตร์ไม่ได้ส่งผลต่อการโต้เถียงทางความคิดได้รุนแรงเท่าความขัดแย้งทาง ศาสนา ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์และวิธกี ารเข้าถึงความจริงแบบวิทยาศาสตร์ค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ ปราชญ์ยุคต้นสมัยใหม่อย่างช้าๆ แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏประวัติศาสตร์วทิ ยาศาสตร์ท่แี ยกออกมาจาก ความรูแ้ ขนงอื่นๆ อีกทัง้ ชุดความรูท้ ป่ี จั จุบนั เรียกว่า “วิทยาศาสตร์” มิได้แยกออกจากศาสตร์หรือความรู้ แขนงอื่นๆ เพียงเป็ นส่วนทีเ่ รียกว่า “mechanical philosophy” แต่ได้ส่งผลในทางอ้อมสู่การจัดระเบียบ ของความรูแ้ ละศาสตร์แขนงต่างๆ ทัง้ natural philosophy (philosophia naturalis) และ ปรัชญา (philosophy) ศตวรรษที่ 17 ปรากฏหนังสือประวัตศิ าสตร์ปรัชญาหลายเล่ม ซึง่ ได้อภิปรายข้อแตกต่าง ทางความคิดของปราชญ์ท่านต่างๆหรือสํานักคิดต่างๆ โดยใช้ขอ้ มูลทางประวัตศิ าสตร์เช่นชีวประวัตแิ ละ บริบททางความคิดของสํานักต่างๆ 6 5
D
R
นอกจากประวัติปรัชญา ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ยังมีการค้นคว้าประวัติศาสตร์และ พัฒนาการของศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น วาทศิลป์ (rhetoric), นิตศิ าสตร์ การเขียนประวัตศิ าสตร์และ การแพทย์ โดยวางอยู่บนกรอบคิดว่าด้วยลักษณะเฉพาะของแต่ละยุคสมัย ในหลายๆมิตดิ ้วยกันเช่น พัฒนาการของระบบการศึก ษาในกรณีวาทศิล ป์ พัฒนาการของสถาบันตุ ล าการในกรณีประวัติของ นิ ติศ าสตร์ โดยลัก ษณะสํ า คัญ อัน หนึ่ ง คือ ความสนใจโครงสร้า งสถาบัน ธรรมเนี ย มปฏิบ ัติแ ละการ อภิปรายตัวบท ไม่ว่าจะเป็ นตัวบทกฎหมาย ข้อเขียนประวัตศิ าสตร์และตําราวาทศิลป์ มากกว่าจะสนใจที่ สงครามและการรบพุ่ง เนื่ อ งด้ว ยเป็ นการค้นคว้าทางประวัติศ าสตร์ท่ีใ ห้ค วามสํา คัญ กับตัว สถาบัน มากกว่าตัวบุคคล เพื่อแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอันต่ อเนื่องของศาสตร์แขนงนัน้ ๆ ขณะที่การเขียน ประวัตศิ าสตร์ทใ่ี ห้ความสําคัญกับชีวประวัตสิ ูง มองไม่เห็นพัฒนาการของสถาบันทีต่ ่อเนื่องนัก การเห็น
6
Burke, Varieties of Cultural History, 10-11.
9
ความสํ าคัญ ของสถาบัน ทางความรู้ห รือ เห็น ว่ า เป็ น ความรู้ท่ีมคี วามต่ อ เนื่ อ งและต่ อ ยอดกัน และกัน มากกว่าจะยกย่องอัจฉริยบุคคล
T
ข้อเขียนประวัตศิ าสตร์ของศาสตร์และความรูม้ จี าํ นวนมากขึน้ ในศตวรรษที่ 18 เนื่องจากความ สนใจที่มมี ากขึน้ และการขยายตัวของการอ่านและการพิมพ์ มีขอ้ เขียนประวัตศิ าสตร์การแพทย์ ดารา ศาสตร์ คณิตศาสตร์ เรขาคณิต เคมีและการพิมพ์ แนวโน้มสําคัญทีเ่ ห็นได้ชดั ในการเขียนประวัตศิ าสตร์ ของศาสตร์แขนงต่างๆ ซึ่งต่างจากประวัตศิ าสตร์ปรัชญาคือข้อมูลประเภทชีวประวัตลิ ดความสําคัญลง โดยเฉพาะเมือ่ เข้าสู่ศตวรรษที่ 18 นักประวัตศิ าสตร์หลายท่านวิพากษ์วจิ ารณ์ขอ้ เขียนเชิงประวัตศิ าสตร์ ชิ้น ก่ อ นๆที่ใ ห้ ค วามสํ า คัญ กับ ชีว ประวัติเ ป็ น หลัก 7 ต่ อ มาทิศ ทางดัง กล่ า วเป็ น ลัก ษณะสํ า คัญ ของ ประวัตศิ าสตร์ยุคแสงสว่างทีน่ อกจากจะลดทอนความสําคัญของการสงครามแล้ว ยังลดความสําคัญของ อัจฉริยภาพของปจั เจก โดยกลายมาสนใจที่ “ประวัตศิ าสตร์สากล” (general history) ทําให้มสี ่วนหนึ่ง เริม่ มองว่าความคิดและศาสตร์แขนงต่างๆ นัน้ มีลกั ษณะเฉพาะสอดคล้องกับยุคสมัยนัน้ ๆ หรืออีกนัย หนึ่งเชื่อมโยงกับสังคม ทัศนคติและวัฒนธรรมของยุคสมัยนัน้ ๆ
F
6
7
D
R
A
รากศัพท์ของคําว่า “culture” คือคําละติน cultus หรือ cultura มีความหมายถึงการอบรมบ่ม เพาะวรรณกรรม ปรัชญา วาทศิลป์ กฎหมาย ศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึง่ เชื่อว่านํ ามาซึง่ คุณธรรมที่ จําเป็ นในสังคม คํานี้ไม่ได้ถูกนํ าใช้เป็ นคําหลักในข้อเขียนประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในยุคต้นสมัยใหม่ นักเขียนยุคนัน้ ยังนิยมใช้คําว่า “literature” ซึง่ หมายถึงข้อเขียนสําคัญทีเ่ ป็ นมรดกสืบทอดมา 8 และเป็ น สิง่ ทีน่ ํามาซึง่ การอบรมบ่มเพาะและความรูต้ ่อปจั เจกและสังคม จึงเห็นได้ว่าความสนใจต่อเนื้อหาประเภท ชีวประวัตเิ ป็ นกุญแจสู่การอบรมบ่มเพาะของปจั เจกผ่านตัวตนของผูแ้ ต่ง ต่อมาในศตวรรษที่ 17 คําว่า “culture” ถูกนํ ามาใช้ในข้อเขียนเชิงปรัชญาอย่างแพร่หลาย ในแง่ของการอบรมบ่มเพาะในลักษณะที่ เป็ นนามธรรมมากขึน้ เช่นทางปญั ญา ทางจิตใจและทางเหตุผล อีกทัง้ ยังมีความเปลีย่ นแปลงจากการใช้ เพื่อกล่าวถึงปจั เจกในแง่ของการปลูกฝงั ความรูด้ ้านภาษา วรรณกรรม ปรัชญา วาทศิลป์ ศิลปศาสตร์ และวิทยาการ มาสู่การใช้เพื่อกล่าวถึงระดับพัฒนาการของสังคมในภาพรวม และเป็ นเครื่องบ่งชีร้ ะดับ อารยธรรมของสังคมใดสังคมหนึ่ง 9 ซึง่ สอดคล้องกับคําอีกชุดหนึ่งซึง่ นิยมใช้มากขึน้ ในยุคแสงสว่างและ ยุคโรแมนติก กล่าวคือคําที่มนี ัยว่าเป็ นของสังคมโดยรวมมากกว่าเป็ นของปจั เจก ทัง้ ยังมีลกั ษณะ 7
8
8
Burke, Varieties of Cultural History, 12-13.
Donald R. Kelley, "The Old Cultural History," in Historiography : Critical Concepts in Historical Studies, ed. R. M. Burns(London: Routledge, 2006), 90. 9 Kelley, "The Old Cultural History," 89.
10
นามธรรมมากขึน้ นัน้ คือคําทีม่ คี วามหมายว่า “จิตวิญญาณ” (spirit, mens, esprit, Geist) ซึง่ สอดคล้อง กับความสนใจความเป็ นสังคมและความเป็ นสากลของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมต้นยุคแสงสว่าง
A
F
T
การค้นคว้าประวัติศ าสตร์ของภาษา วรรณกรรม ศิล ปะและศาสตร์แขนงต่ างๆ ถือได้ว่าเป็ น มรดกสําคัญจากนักมนุ ษยนิยมเรอเนสซองส์ และความสนใจในวิทยาศาสตร์ มีส่ว นทําให้เกิด ความ จําเป็ นในการจัดระบบความรู้ท่ีเพิ่มพูนขึ้นมากในช่ว งเวลาอันสัน้ การศึก ษาทางประวัติศ าสตร์ผ่ าน ชีวประวัตแิ ละประวัตศิ าสตร์สถาบันต่างๆทีเ่ กี่ยวข้อง เป็ นความรูส้ ําคัญในการจัดระบบความรูน้ ัน้ ๆ ใน ศตวรรษที่ 18 เริม่ เห็นถึงข้อถกเถียงสําคัญซึ่งดําเนินมาในการอธิบายประวัตศิ าสตร์ภูมปิ ญั ญาตัง้ แต่ ศตวรรษที่ 17 กล่ าวคือประเด็นเรื่อ งการเป็ นตัวกระทําทางความคิด ตัง้ แต่ ยุคคลาสสิกเป็ นต้นมา ข้อเขียนประเภทชีวประวัตมิ ที ท่ี างของตนเป็ นหนึ่งในประเภทของวรรณกรรมสําคัญ แต่การอธิบายทีม่ า ทางความคิดด้วยชีวประวัตขิ องปจั เจกในฐานะผู้คดิ ค้น ผู้เขียน ผู้ค้นพบและริเริม่ ยังคงเป็ นหนึ่งในวิธ ี อธิบายหลักถึงที่มาและพัฒนาการของความคิดและความรู้ ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 18 หนึ่งใน ทางเลือกนอกจากการเขียนประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมด้วยชีวประวัติ ได้แก่ การเน้ นที่สถาบันหรือกลุ่ม บุคคลว่ามีส่วนสําคัญในการสร้างและพัฒนาความรูค้ วามคิด สถาบันครอบคลุมตัง้ แต่องค์กรตุลาการใน กรณีของประวัติศาสตร์นิติศาสตร์ บทบาทของสํานักทางความคิด องค์ก รต่ างๆทัง้ ในและนอกการ ยอมรับของศาสนาจักร โรงเรียนและสถาบันการศึกษา รวมถึงสมาคมต่างๆ
D
R
ข้อเขียนประวัตศิ าสตร์ศตวรรษที่ 18 ปรากฏให้เห็นถึงทิศทางใหม่ กล่าวคือการลดบทบาทของ หน่ วยเช่นปจั เจก สถาบันหรือสมาคมว่าเป็ นที่มาหรือเชื่อมโยงกับความรูค้ วามคิดและทัศนคติท่ศี กึ ษา โดยหัน มาให้ ค วามสํ า คัญ กับ หน่ ว ยที่เ ป็ น นามธรรมยิ่ง ขึ้น สอดคล้อ งกับ ความเปลี่ย นแปลงของ ความหมายของคําว่า “สังคม” (society) ทัง้ ในภาษาอังกฤษและฝรังเศสที ่ ม่ รี ากศัพท์ร่วมกัน ในช่วง ก่อนสมัยใหม่คาํ นี้มคี วามหมายว่าเป็ นการรวมตัวของกลุ่มคนทีม่ าร่วมมือกันในลักษณะของมิตรสหาย มี ผลประโยชน์รว่ มกันและมีเอกภาพ ในความหมายของคําว่า “สมาคม” ซึง่ หมายถึงการรวมตัวกันของคน ในสาขาอาชีพเดียวกัน มีความชํานาญเฉพาะหรือมีความสนใจร่วมกัน 10 เช่นในกรณีของนักกฎหมาย แพทย์ ช่ า งพิม พ์ แ ละนั ก วาทศิล ป์ ซึ่ง มีสํ า นั ก หรือ ศาสตร์เ ดีย วกัน การค้ น คว้ า ทางวัฒ นธรรมใน 9
10
Raymond Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, Rev. ed. (New York: Oxford University Press, 1985), 291.
11
ประวัตศิ าสตร์จงึ สอดคล้องกับนิยามของสังคมในบริบทนัน้ ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 18 คําว่า “สังคม” เริม่ มีความเปลี่ยนแปลงมาเป็ นความหมายที่ใช้อยู่ในปจั จุบนั ตามคําเยอรมัน Gesellschaft โดยใช้ใน ความหมายถึงการอยู่ร่วมกันทัวๆไป ่ ซึง่ วางอยู่บนความแตกต่าง ไม่ได้มปี ฏิสมั พันธ์ทางตรงและไม่ได้ม ี ความสนใจร่วมกัน รวมถึงมีความเป็ นนามธรรม เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 18 เริม่ ใช้ในความหมายในเชิง ของระบบหรือวิถกี ารดําเนินชีวติ โดยทัวๆ ่ ไป 11 10
A
F
T
การเปลีย่ นแปลงของความหมายและขอบเขตของคําว่าสังคมนี้ สอดคล้องกับความสนใจศึกษา วัฒนธรรมที่แตกต่างไปในการค้นคว้าทางประวัตศิ าสตร์ กล่าวคือจากที่การค้นคว้าเรื่องวัฒนธรรมใน อดีตจะสนใจทีป่ จั เจก สํานัก วิชาชีพหรือศาสตร์ในขอบเขตความสนใจของสมาคมหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม นักประวัตศิ าสตร์เริม่ อธิบายวัฒนธรรมในลักษณะทีเ่ ชื่อมโยงกับภาพหรือระบบของสังคมโดยรวม นอก กลุ่มผูม้ คี วามรูใ้ นสาขานัน้ ๆ สิง่ นี้เองนํ ามาสู่ความคิดว่ามีระบบหรือแบบแผนทางความคิดหรือความเชื่อ ในแต่ละยุคสมัย กว้างออกไปกว่ากลุ่มผูม้ คี วามรูใ้ นสาขาใดสาขาหนึ่ง ยุคแสงสว่างมีนิยามของความเป็ น “สังคม” ทีซ่ บั ซ้อนมากกว่าก่อน ความสนใจศึกษาจึงหันมาสนใจทีแ่ บบแผนทางความคิดของคนทัวไป ่ อีกทัง้ ยังให้ความสนใจต่ อผลผลิตทางวัฒนธรรมนอกเหนือไปจากผลงานการประพันธ์ จึงมาสนใจที่ รูปแบบของขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อนํ าไปสู่ความเข้าใจว่าผู้คนแต่ละยุคมีแบบแผนทางความคิด เป็ นอย่างไร
R
ผลงานหรือผลผลิตทางวัฒนธรรมจึงถูกนํ ามาเชื่อมโยงกับสภาวะของสังคมโดยรวม แทนทีจ่ ะ เชื่อมโยงกับปจั เจกหรือสถาบันในรูปใดรูปหนึ่งอย่างแคบๆ แต่ถูกนํามาเชื่อมโยงกับธรรมเนียมปฏิบตั ิ และทัศนคติของคนหมู่ใหญ่ในสังคม ปราชญ์ศตวรรษที่ 17 หลายท่านมีความเข้าใจต่อวัฒนธรรมใน ลักษณะทีเ่ ป็ นสมัยใหม่ ดังเช่นจอห์น เซลเดน (John Selden) ในศตวรรษที่ 17 กล่าวว่าสิง่ ทีค่ วรคู่แก่ การนํามาศึกษาคือธรรมเนียมประเพณีทค่ี นหมู่มากปฏิบตั ิ ไม่ใช่ขอ้ เขียนของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ขณะที่ จอห์น ลอค (John Locke) กล่าวถึงความแตกต่างของแบบแผนทางความคิด (modes of thought) ของ สังคมที่แตกต่างกันในโลก 12 จากนักคิด 2 ท่านที่ยกมาเห็นได้ถงึ แนวคิดว่าด้วยความแตกต่างทาง วัฒนธรรมเปิ ดกว้างมากขึน้ แนวคิดแรกคือแนวคิดที่มองเห็นถึงความสําคัญของวัฒนธรรมหรือแบบ แผนทางความคิดทีม่ าจากส่วนล่างของสังคม แทนทีจ่ ะจํากัดอยูเ่ พียงวรรณกรรม โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็ น ความสนใจต่อพลวัตของวัฒนธรรมเบือ้ งล่างหรือมวลชน ส่วนแนวคิดทีส่ องคือแนวคิดในทิศทางสัมพัทธ์
D
1 1
11 12
Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, 294. Burke, Varieties of Cultural History, 14.
12
T
นิยมทางวัฒนธรรม (cultural relativism) ทีแ่ ม้ว่าจะยังอยู่ในระดับอ่อน แต่ได้นําไปสู่ทศั นะทีส่ นใจศึกษา และอธิบายวัฒนธรรมซึง่ แตกต่างกันไม่ว่าจากสังคมอื่นหรือจากอดีต ซึง่ ต่อมาในศตวรรษที่ 18 ประเด็น นี้เป็ นที่สนใจในหมู่นักเขียนเช่น ฟองเตนเนลล์ (Bernard Le Bovier de Fontenelle), วิโก (Giambattista Vico) , วอลแตร์ (Voltaire) และมองเตสกิเออ (Montesquieu) ทัศนะดังกล่าวส่งผลให้เกิด ความสนใจในวัฒนธรรมที่หลากหลายทัง้ ในทางภูมศิ าสตร์และประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการศึกษา ค้นคว้าแบบแผนทางความคิดที่แตกต่างกันต่ างยุคสมัยและต่างสังคม อีกทัง้ ยังอภิปรายในเชิงลึกมาก ยิง่ ขึน้
A
F
ข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ใช้คําหลายคําเพื่ออธิบายถึงสิง่ ที่ ปจั จุบนั เรียกว่า “วัฒนธรรม” แม้ว่าขณะนัน้ คํานี้ยงั ไม่มคี ําเฉพาะ ใน De L’Origines des Fables (เขียน เสร็จราวปี 1684 ตีพมิ พ์ปี 1724) ฟองเตนเนลล์วพิ ากษ์ศาสนาและความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและเรื่องเหนือ ธรรมชาติของยุคโบราณ โดยอภิปรายถึงกําเนิดและประวัตศิ าสตร์ของตํานานหรือ “คติ” (fable หรือ myth) ทีไ่ ม่ได้วางอยู่บนรากฐานของเหตุและผล ในทิศทางเดียวกับปี แอร์ บายล์ (Pierre Bayle) โดย ข้อเขียนชิน้ นี้เป็ นจุดเริม่ สําคัญของยุคแสงสว่างในการวิพากษ์ความไม่เป็ นเหตุเป็ นผลของความเชื่อทาง ศาสนาและไสยศาสตร์ โดยผ่านการศึกษาทางประวัตศิ าสตร์ งานชิน้ นี้มอี ทิ ธิพลต่อวงการทีศ่ กึ ษาตํานาน (myth และ mythology) โดยได้อภิปรายในลักษณะทัวไป ่ แง่มุมทางจิตวิทยา หน้ าที่ทางสังคมและ ความหมาย เปรียบมโนทัศน์ของมนุ ษย์ยคุ ดึกดําบรรพ์เหมือนของเด็กกล่าวคือ อ่อนแอ เชื่อง่ายและชอบ จินตนาการขึน้ มาเอง โดยการทําความเข้าใน “คติ” ในอดีตเป็ นประตูสู่ความเข้าใจความคิดของคนในยุค นัน้ ๆ 13 ฟองเตนเนลล์กล่าวว่างานชิ้นนี้เป็ น “ประวัตศิ าสตร์ของความหลงผิดของจิตมนุ ษย์” (l’histoire des erreurs de l’esprit humain) 14
R
12
13
D
ส่วนใน Scienza Nuova (1725) ของจามบาติสตา วิโก (Giambattista Vico) ซึ่งเป็ นหนึ่งใน ข้อเขียนชิน้ แรกๆ ในช่วงต้นยุคแสงสว่างทีใ่ ช้ขอ้ มูลมาจากประวัตศิ าสตร์โรมันมาตีความและสร้างกรอบ ทางปรัชญาอย่างเป็ นระบบ วิโกชีว้ ่าพัฒนาการมี 3 ขัน้ ตอน (corso) แบ่งออกเป็ น 3 ยุคได้แก่ ยุคเทพ เจ้า ยุควีรบุรุษและยุคมนุ ษ ย์ ซึ่งแต่ ล ะยุคมีรูปแบบทางสัง คม การปกครองและกฎหมาย มนุ ษย์ม ี บุคลิกลักษณะนิสยั และมโนทัศน์ต่างกัน รวมถึงมีพฒ ั นาการทางวัฒนธรรมทัง้ ในแง่รปู แบบทางภาษาและ
13
Burton Feldman and R. D. Richardson, The Rise of Modern Mythology, 1680-1860 ([S.l.]: Indiana U Pr., 1972), 7-8. Bernard de Fontenelle, Oeuvres De Fontenelle, Précédées D'une Notice Historique Sur Sa Vie Et Ses Ouvrages (Paris: Paris, 1825), 310. 14
13
รูปแบบทางโวหาร 3 ขัน้ แบ่งเป็ น ยุคแห่งกวี (poetic หรือ mythical stage) ยุคแห่งวีรบุรุษ (heroic หรือ feudal stage) และยุคปญั ญามนุ ษย์ (human or civil wisdom) วิโกใช้วลี “ตรรกะทางกวี” (sapienza poetica; poetic logic หรือ poetic wisdom) หมายถึงบรรทัดฐานหรือวิถที างความคิดที่วางอยู่บน สํานวนภาษา (rhetoric) ทีแ่ ตกต่างกันและใช้ทาํ ความเข้าใจโลกตามความคิดของคนแต่ละยุคสมัย
F
T
แนวคิดว่าแต่ละยุคสมัยมีวถิ หี รือกระบวนทรรศน์ทางความคิดแตกต่างกันเป็ นสิง่ สําคัญในการทํา ความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสังคมซึง่ ปราชญ์ยุคแสงสว่างใช้ ส่วนหนึ่งนํ าไปสู่การอภิปรายแนวคิด ว่าด้วยความก้าวหน้าหรือเปลีย่ นแปลงทางสังคม ยานส์ คราฟท์ (Jens Kraft) ปราชญ์ชาวเดนมาร์กใช้ วลี Taenke-Maade (Thinking-mode) ของผูค้ นดึกดําบรรพ์ใน De vilde Folk (1760) ซึง่ ต่อมามองเตสกิ เออใช้วลีคล้ายๆกันใน De l’esprit des lois (1744) โดยใช้วลี “วิถที างความคิดของบรรพชน” (la maniere de penser de nos peres) กล่าวถึงบรรทัดฐานทางความคิดทีส่ อดรับกับประเพณีปฏิบตั ทิ าง กฎหมายและการตุลาการสมัยกลาง เช่น พิสูจน์ความบริสุทธิ ์ด้วยไฟ เหล็กร้อนหรือโยนลงนํ้า โดยมอง เตสกิเออกล่าวว่า “ขึ้นกับส่วนของความบังเอิญมากกว่าเหตุ ผล และไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของศีลธรรม ความถูกผิด” 15 มองเตสกิเออมองว่าแต่ละระบอบการปกครองจะมี principle หรือระบบศีลธรรมต่างกัน ไป ซึง่ เป็ นทีม่ าและขับเคลื่อนระบอบการปกครองนัน้ ๆ ระบอบการปกครองใดๆไม่อาจคงอยู่ได้นานหาก ขาดระบบศีลธรรมที่สอดคล้องกัน ส่วนสําคัญของ principle คือความคิดและค่านิยมที่คนในสังคมมี ร่วมกันโดย “วิถที างความคิดเป็ นส่วนสําคัญ” โดยอภิปรายระบบสังคมและการปกครองสมัยกลางเพื่อ เปรียบเทียบระบอบการปกครองทัง้ 3 ระบอบ ได้แก่ระบอบเผด็จการ ระบอบราชบัลลังก์และระบอบ ประชารัฐ ในกรอบการวิเคราะห์มองเตสกิเออแยกระบอบการปกครองออกจาก principle ชีว้ ่าระบอบ การปกครองคือโครงสร้างทีเ่ ป็ นอยู่ ซึง่ ดําเนินไปได้ดว้ ยสิง่ ทีเ่ รียกว่า les passions humaines (human passions) ทีเ่ ป็ นแรงขับดัน 16 ซึ่งส่วนนี้เองเป็ นส่วนของวิถที างความคิดซึ่งรวมเอาไว้ทงั ้ ความเป็ นเหตุ เป็ นผลและความไม่เป็ นเหตุเป็ นผล
R
A
14
D
15
15
De l’esprit des lois 28.17 : The way of thinking of our fathers. …One will be astonished to see that our fathers thus made the honor, fortune, and life of the citizens depend on things that depend on things that belonged less to the province' of reason than to that of chance, that they constantly used proofs that did not prove and that were linked neither to innocence nor to the crime.” Charles de Secondat baron de Montesquieu, The Spirit of the Laws, trans., Anne M. Cohler, Basia Carolyn Miller, and Harold Samuel Stone (Cambridge: Cambridge University Press, 1989), 551. 16 De l’esprit des lois 3.1 :
14
D
R
A
F
T
นอกจากจะสนใจต่ อ ความคิด ของมนุ ษ ย์ยุ ค ดึก ดํา บรรพ์ ซึ่ง เป็ น ส่ว นสํา คัญ ในการสร้า งข้อ ถกเถียงของทฤษฎีการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิง่ ทฤษฎีสญ ั ญาประชาคม เนื่องจากต้องแยกแยะความ แตกต่างทางสังคมระหว่าง 2 ยุค คือสภาวะธรรมชาติหรือยุคดึกดําบรรพ์และสภาวะระเบียบแห่งรัฐ ทํา ให้การทําความเข้าใจความรูส้ ํานึกคิดของคนยุคดึกดําบรรพ์มคี วามสําคัญสําหรับปราชญ์ช่วงต้นยุคแสง สว่าง แต่ เมื่อเข้าสู่กลางศตวรรษที่ 18 ทัศ นะวิพากษ์สงั คมร่ว มสมัยเริม่ รุนแรงขึ้น ความสนใจทาง ประวัติศาสตร์ในเชิงวิพากษ์หนั มาที่ระบบสังคมสมัยกลาง ซึ่งเชื่อ ว่าเป็ นที่มาของความไม่ถูกต้องใน หลายๆด้านของสังคมสมัยนัน้ จากที่นักคิดด้านการเมืองต้นยุคแสงสว่างมองความเป็ นประวัตศิ าสตร์ ค่อนข้างหยาบคือ เพียงอภิปรายข้อแตกต่างระหว่างยุคดึกดําบรรพ์กบั ยุคร่วมสมัย นอกจากมองเตสกิ เออทีส่ ่วนสําคัญของ De l’esprit des lois ยังมีขอ้ เขียนเชิงประวัตศิ าสตร์อกี หลายชิน้ ทีอ่ อกมาในช่วง กลางศตวรรษที่ 18 มุ่งอธิบายระบบศีลธรรมและค่านิยมสมัยกลาง แทนที่จะสนใจความเป็ นไปทางการ เมืองหรือศึกสงคราม โดยหลักฐานทีใ่ ช้มากทีส่ ุดคือวรรณกรรมโรแมนซ์ ฌ็อง-บาติสต์ เดอ ลา เคิรน์ เดอ แซงต์-พาเลย์ (Jean-Baptiste de La Curne de Sainte-Palaye) เขียน Mémoires sur l'ancienne chevalerie (1746-50) นักคิดและนักเขียนยุคแสงสว่างท่านอื่นๆ สนใจระบบอัศวิน (chivalry) โดย เฉพาะที่เกี่ยวข้อ งกับความรู้ส ึกนึ ก คิด และระบบคุณ ค่ าของคนระบบอัศ วิน โดยเน้ นอธิบายส่ วนของ ความคิด ดังกล่าวเงานของแซงต์-พาเลย์ มีส่ วนในการกระตุ้นความสนใจศึกษายุคกลางในมิติทาง วัฒนธรรม มีงานหลายชิน้ ตามมาเช่น Letters on Chivalry and Romance (1762) โดยริชาร์ด เฮิรด์ (Richard Hurd) และ Observations on the Faerie Queene (1754) โดยทอมัส วอร์ตนั (Thomas Warton) งานทัง้ สองชิน้ มีทศั นะทีค่ ่อนข้างพยายามทําความเข้าใจความรูส้ กึ ของผูค้ นในยุคนัน้ ๆ ผ่าน วรรณกรรม ถูกนักเขียนหลายท่านในช่วงครึง่ หลังศตวรรษที่ 18 อ้างงานของแซงต์-พาเลย์ เพื่ออภิปราย ระบบคิดสมัยกลาง เช่น วอลแตร์ (Voltaire), วิลเลียม โรเบิร์ตสัน (William Robertson), แฮร์เดอร์ (Johann Gottfried Herder), และฮอเรซ วัลโพล (Horace Walpole) วิลเลียม โรเบิร์ตสันนัก ประวัตศิ าสตร์ชาวสก๊อตอภิปรายไว้ใน History of Charles V (1769) ถึงระบบอัศวิน (chivalry) ว่า “แม้ จะถูกมองว่าเป็ นสถาบันทีป่ า่ เถื่อน มาจากการใช้อํานาจตามอําเภอใจและนํ าไปสู่พฤติกรรมเกินขอบเขต
There is this difference between the nature of the government and its principle: its nature is that which makes it what it is, and its principle, that which makes it act. The one is its particular structure, and the other is the human passions that set it in motion. (Montesquieu, The Spirit of the Laws, 21.)
15
แต่กเ็ ป็ นระบบทีเ่ กิดขึน้ เป็ นธรรมชาติของสภาวะสังคมในเวลานัน้ อีกทัง้ มีอทิ ธิพลอย่างสูงต่อการกล่อม เกลาธรรมเนียมปฏิบตั ติ ่างๆของชนชาติในยุโรป” 17
T
จากทีย่ กมาในข้อเขียนของมองเตสกิเออและโรเบิรต์ สัน พอเห็นได้ว่าทัศนะต่อวัฒนธรรมในอดีต ทีเ่ ปิ ดกว้างมากขึน้ กว่าข้อเขียนช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และต้นศตวรรษที่ 18 โดยมองในแง่ลบน้อยลง และมองว่าเชื่อมโยงสอดคล้องกับระบบสังคม กล่าวคือมองในทัศนะที่ค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกับ แนวคิด หน้ าที่นิยม (functionalist) ในสัง คมวิทยาสมัยใหม่ โรเบิร์ต สันมองว่ ามีส่ วนเป็ นแรงผลัก สู่ ความก้าวหน้ าทางสังคม แม้ว่าโดยลักษณะจะล้าหลัง นอกจากนี้ยงั มีแนวโน้ มที่จะพยายามทําความ เข้าใจความรูส้ กึ (empathy) ของผูค้ นในยุคนัน้ ๆ ในสภาวการณ์ของยุคสมัย โดยไม่พยายามเข้าไป ตัดสินด้วยอคติจากกรอบศีลธรรมของยุคปจั จุบนั
F
วอลแตร์กบั ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมยุคแสงสว่าง
R
A
นักประวัตศิ าสตร์คนสําคัญทีถ่ อื ได้ว่าเปิดประตูส่กู ารเขียนประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างค่อนข้าง เต็มรูปแบบได้แก่ วอลแตร์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ข้อเขียนประวัติศาสตร์ในช่วงหลัง ซึ่งให้เนื้อที่แก่ เรื่อง การเมืองและผูน้ ําทางการเมืองในฐานะปจั เจกลดลง โดยหันมาให้ความสําคัญต่อวิถที างความคิดและวิถี ปฏิบตั ขิ องคนหมู่มากในสังคม ใน Nouvellers consideration sur l’histoire (1744) วอลแตร์กล่าวว่า ประวัติศ าสตร์เ หตุ ก ารณ์ ส งครามและสนธิส ัญ ญาต่ า งๆ ไม่ เ พีย งพอที่จ ะศึก ษาผู้ค นจํา นวนมากใน ประวัตศิ าสตร์ สิง่ ทีว่ อลแตร์สนใจคือประวัตศิ าสตร์ทค่ี รอบคลุมมนุ ษย์ในหลากหลายมิติ 18 ใน Siecle de Louis XIV (1752) วอลแตร์ไม่ได้เขียนประวัตศิ าสตร์สมัยพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 โดยเน้นทีก่ ารเมืองการ ปกครอง การทหารหรือเน้นทีต่ วั พระมหากษัตริย์ วอลแตร์ใช้คําว่า “siècle” แทนทีจ่ ะใช้ “histoire” แสดง ถึงความตัง้ ใจดังกล่าว 19 วอลแตร์กล่าวว่า “เราไม่ต้องการนํ าเสนอการกระทําของบุคคลเพียงคนเดียว แต่ตอ้ งการนําเสนอจิตวิญญาณของมนุ ษยชาติโดยรวม ซึง่ เป็ นยุคสมัยทีเ่ ป็ นเรืองรองทีส่ ุด” 20 17
18
D
19
17
Burke, Varieties of Cultural History, 15. John Henry Brumfitt, Voltaire Historian (London: Oxford University Press, 1958), 46-47; Catherine Volpihac-Auger, "Voltaire and History," in The Cambridge Companion to Voltaire, ed. Nicholas Cronk(Cambridge: Cambridge University Press, 2009), 141-143. 19 พึง่ สุนทร, ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20. 20 Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, vol. 22 (Akron: Warner, 1906), 5. 18
16
T
วอลแตร์ไม่ได้ใช้การเล่าเรื่องตามลําดับเหตุการณ์ แต่แบ่งโครงสร้างออกเป็ น 2 ส่วน โดยส่วน แรกเล่าเรือ่ งการเมืองและการทหารอย่างกระชับ ช่วงแรกของส่วนทีส่ องเป็ นสังคม เศรษฐกิจ กฎหมาย ระบบการปกครอง ศาสนาและราชสํ า นัก ช่ ว งหลัง ของส่ ว นที่ส องเป็ น เรื่อ งของความก้ า วหน้ า ทาง วิทยาศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรม ในบทนําวอลแตร์กล่าวถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมในสมัยของพระ เจ้าหลุยส์ท่ี 14 กล่าวว่ายุคนี้เป็ นยุคที่ 4 ของความรุง่ เรืองทางวัฒนธรรม แม้ว่าด้านศิลปศาสตร์ไม่ได้ก้าว ไปไกลกว่ายุคก่อน แต่ความคิดเป็ นเหตุเป็ นผลของมนุ ษย์พฒ ั นาขึน้ มากในศาสตร์สาขาต่างๆ เป็ นยุคที่ “…a general revolution in our arts, our genius, our manners, and even in our government, as will serve as an immortal mark to the true glory of our country.” 21
R
A
F
แม้ใน Siecle de Louis XIV วอลแตร์ไม่ได้ให้พ้นื ที่ในเรื่องวัฒนธรรมมากนัก แต่ก็เห็นได้ถงึ กรอบความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ต่อมาใน Essai sur les moeurs et l'esprit des nations (1756, Essay on the Manners and the Spirit of the Nations) ซึง่ เนื้อหาครอบคลุมพืน้ ทีก่ ว้างกว่าและ ระยะเวลายาวกว่าได้รเิ ริม่ ความสนใจทางประวัตศิ าสตร์รปู แบบใหม่ Essai เป็ นงานทีม่ คี วามซับซ้อนมาก ทีส่ ุดของวอลแตร์ เริม่ เรื่องโดยเสนอโลกในภาพกว้างกล่าวถึงจีนและอินเดีย และแคบลงทีส่ มัยของชาร์ ลมาญทีค่ ริสต์ศาสนารุ่งเรือง โดยย้อนกลับไปที่การล่มสลายของกรุงโรม นอกจากจะไม่เน้นที่ตวั กระทํา หลักทางประวัตศิ าสตร์อย่างพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 และวอลแตร์ยงั ปฏิเสธการเน้ นชนชาติ อีกทัง้ ขยาย ขอบเขตทางเวลาและภูมศิ าสตร์ วอลแตร์กล่าวถึงการเขียนประวัตศิ าสตร์ของตนชิ้นนี้ใน “professeur en histoire” ว่าเป้าหมายสําคัญของประวัตศิ าสตร์แบบใหม่คอื “พัฒนาการของความรูส้ กึ นึกคิดของ มนุ ษย์” ถึงแม้ว่ามนุ ษย์ในฐานะปจั เจกจะโฉดเขลา ประวัตศิ าสตร์เต็มไปด้วยเหตุ การณ์ความวุ่นวาย สับ สน แต่ ใ นระยะยาวความเป็ น สัง คมยัง คงอยู่ การค้า ขายดํา เนิ น ต่ อ ไป ความรู้แ ละวัฒ นธรรมก็ ั นธรรมลักษณะดังกล่าวเห็นถึงความเชื่อมโยงกับโครงสร้างสังคมและ พัฒนาขึน้ ได้ 22 ประวัตศิ าสตร์วฒ เศรษฐกิจ ภายใต้สภาวการณ์ของการแย่งชิงและแข่งขันในสังคม หากมองทีป่ ระวัตศิ าสตร์เหตุการณ์อาจ
D
21
21 22
Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, 7. Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, vol. 37 (Akron: Werner, 1906), 280-281. : My principal aim was to trace the revolutions of the human understanding in those of governments. [les révolutions de l’esprit humain dans celles des gouvernements.] I endeavored to discover in what manner so many bad men, conducted by worse princes, have notwithstanding, in the long run, established societies, in which the arts and sciences, and even the virtues, have been cultivated. I attempted to find the paths of commerce, that privately repairs the ruins which savage conquerors leave behind them; and I studied to know, from the price of provisions, the riches or poverty of a people: above all things, I examined in what manner the arts revived and supported themselves in the midst of such desolation.
17
เห็นแต่ความวุ่นวายขัดแย้ง มีอาณาจักรเกิดขึน้ ใหม่และล่มสลาย แต่การศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรม แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องและก้าวหน้าของมวลมนุ ษย์
F
T
วอลแตร์ใช้คําฝรังเศส ่ “moeurs” (manners) มีความหมายมากกว่ามรรยาทหรือธรรมเนียม มี รากละตินจาก manuarius ซึง่ แปลว่า "belonging to the hand" ซึง่ อุปมาเป็ นวิธกี ารจัดการกับสิง่ ต่างๆ (method of handling) มักใช้ในทํานองเดียวกับคําละติน modus ซึง่ แปลได้ทงั ้ “วิธกี าร” (method) และ “วิถปี ฏิบตั ”ิ (mode of conduct) ซึง่ มีนัยในด้านมานุ ษยวิทยาซึง่ หมายถึง “วิถปี ฏิบตั ”ิ ของแต่ละสังคม และยุคสมัย ซึ่งแตกต่ างยุ่ง เหยิงและดูไม่เป็ นเหตุ เป็ นผล แต่ ภายใต้ภาพความขัด แย้ง วุ่นวายนี้ เองที่ มนุ ษ ยชาติพ ัฒ นาไป สํ า หรับ วอลแตร์ก ารศึก ษาทางประวัติศ าสตร์ค วรศึก ษามากกว่ า เหตุ ก ารณ์ กฎหมาย ความเชื่อและภาษาดังทีป่ รากฏในข้อเขียนชิ้นก่อนๆ แต่เป็ น “moeurs” ซึ่งวอลแตร์กล่าวถึง รูปแบบทางสังคมของแต่ละช่วงเวลาทางประวัตศิ าสตร์ ตัง้ แต่การใช้ชวี ติ อยู่ในระดับครอบครัวและระดับ ใหญ่ขน้ึ ไป ทัง้ การเดินทาง กินอยู่ หลับนอน แต่งตัวรวมไปถึงวิธกี ารทําสงคราม รวมถึงประเด็นศึกษาที่ ปจั จุบนั อยูใ่ นวิชาการสาขาชาติพนั ธุว์ รรณนา รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมืองและประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ โดยประเด็นทีว่ อลแตร์มกั ให้ความสนใจคือการที่ “moeurs” ส่งผลให้เกิดความเปลีย่ นแปลงในกฎหมาย และรูปแบบการเมืองในระดับชนชาติ 23 ประวัติศาสตร์ของ “moeurs” ครอบคลุมทุกด้านของวิถีการ ดําเนินชีวติ ครอบคลุมทัง้ ส่วนของจิตวิญญาณและโลกทางกายภาพ 24 ในช่วงครึง่ หลังของศตวรรษที่ 20 นักประวัตศิ าสตร์รุ่นใหม่หนั มาสนใจศึกษาสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะนักประวัตศิ าสตร์สํานักอา นาลส์ (Annales school) จาค เลอ กอฟฟ (Jacques Le Goff) นักประวัตศิ าสตร์สํานักนี้ในรุน่ ที่ 3 เห็น ว่าวอลแตร์เป็ นหนึ่งในบิดาของการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมหรือ histoire nouvelle25
A
22
23
D
R
แม้ว่าข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 จะมีแนวคิดต่อวัฒนธรรมที่ เปิดกว้างมากขึน้ กล่าวคือครอบคลุมทัง้ วัฒนธรรมชัน้ สูงเช่นวรรณกรรม ศิลปะและวิทยาการความรูด้ า้ น ต่างๆแล้ว ยังครอบคลุมวิถชี วี ติ ในทุกๆแง่มมุ เป็ น “วิถชี วี ติ ทุกด้าน” (total ways of living) ทัง้ ในมิตทิ าง จิตวิญญาณและวัตถุ งานของวอลแตร์เป็ นตัวอย่างที่ดขี องข้อเขียนประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในยุคแสง
23
Paul Sakmann, "The Problems of Historical Method and of Philosophy of History in Voltaire [1906]," History and Theory 11, no. Enlightenment Historiography: Three German Studies (1971): 41-42. 24 J. G. A. Pocock, Barbarism and Religion (Cambridge, U.K.: Cambridge University Press, 1999), 72-73. 25 Jacques Le Goff, “L’Histoire nouvelle” ใน Jacques Le Goff, Roger Chartier, and Jacques Revel, La Nouvelle Histoire (Paris: C.E.P.L., 1978). 222. อ้างใน Pierre Force, "Voltaire and the Necessity of Modern History," Modern Intellectual History 6, no. 03 (2009). 460.
18
สว่าง ทีม่ กี ารแยกแยะระหว่างวิถปี ฏิบตั ทิ ่ลี ะเมียดละไมผ่านการขัดเกลา (polishes, refined) กับวิถที ่ี หยาบ (rough) เหตุสําคัญอาจเป็ นเพราะยังวางอยู่บนเค้าโครงเรื่องแบบยุคแสงสว่างกล่าวคือเป็ นเรื่อง ของพัฒนาการและความก้าวหน้ าของสภาวะสังคม ดังนัน้ การวิจารณ์ในเชิงคุณค่าของการมีอารยะนัน้ ยัง คงความสํ าคัญ ในการเชื่อ มโยงความเปลี่ยนแปลงทางสัง คมกับความก้ า วหน้ า ทางศิล ปศาสตร์ นอกจากนี้ยงั มีแนวคิดต่อวัฒนธรรมว่ามีลกั ษณะเป็ นองค์รวมและเป็ นผลจากลักษณะของสังคมโดยรวม ไม่ได้เป็ นผลจากปจั เจกหรือคนกลุ่มพิเศษที่มอี จั ฉริยภาพต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม อีกทัง้ ยังมอง ศิลปศาสตร์แต่ละแขนงแต่ละสาขาเปลีย่ นแปลงเชื่อมโยงไปด้วยกันอย่างแยกไม่ออก 26 อีกทัง้ ยังมีทศั นะ ว่าการเปลีย่ นผ่านทางวัฒนธรรมเป็ นผลมาจาก esprit general หรือ esprit human ของพลเมืองโลก โดยรวม แม้ว่าจะคํานึงถึงความเฉพาะเจาะจงของชนชาติ โดยปรากฏชัดในการใช้กล่าวถึงพลเมืองโลก ในข้อเขียน Esquisse d’un tableau historique des progrès de l’esprit humain (1793; Sketch for a Historical Picture of the Progress of the Human Mind) ของนิโคลาส เดอ กองดอร์เซต์ (Nicolas de Condorcet) นักเขียนฝรังเศสโดยเฉพาะวอลแตร์ ่ มอี ทิ ธิพลอย่างสูงต่อนักประวัตศิ าสตร์ทวยุ ั ่ โรป ในแง่ ของสํ า นึ ก ความเชื่อ มโยงระหว่ า งภาษา กฎหมาย ศาสนา ศิล ปศาสตร์แ ละศาสตร์แ ขนงต่ า งๆ ใน ประวัตศิ าสตร์สงั คมและวัฒนธรรม
A
F
T
25
Kulturgeschichte : ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในเยอรมนี
D
R
ทัศนะต่อวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์เริม่ เห็นถึงทิศทางทีต่ ่างออกไปราวปลายศตวรรษที่ 18 ใน ข้อเขียนของปราชญ์ชาวเยอรมัน เช่นในข้อเขียนของโยฮัน ก็อตต์ฟรีด แฮร์เดอร์ (Johann Gottfried Herder), โยฮัน คริสตอฟ อเดลุง (Johann Christoph Adelung) และโยฮัน กอทท์ฟรีด ไอค์ฮอร์น (Johann Gottfried Eichhorn) ซึง่ กล่าวได้ว่าเป็ นการหันมาสนใจวัฒนธรรมหรือ “cultural turn” ทีท่ ําให้ ประวัตศิ าสตร์หนั ไปทีเ่ นื้อหาด้านวัฒนธรรมอย่างเต็มรูปแบบต่างจากประวัตศิ าสตร์แบบฝรังเศสยุ ่ คแสง สว่าง นอกจากข้อเขียนด้านประวัตศิ าสตร์แล้วอิทธิพลสําคัญต่อแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมมาจาก ปรัชญาจิตนิยมในเยอรมันรวมถึงปรัชญาของเฮเกลด้วย ซึง่ มีส่วนสําคัญในการวางกรอบทฤษฎีว่าด้วย วัฒนธรรม บริบททางสถาบันยังเป็ นปจั จัยสําคัญของพัฒนาการของประวัตศิ าสตร์ลกั ษณะดังกล่าว ใน ฝรังเศสศตวรรษที ่ ่ 18 ความสนใจต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์และข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์พฒ ั นาขึน้ ผ่านความสนใจของบุคคลตัง้ แต่ฟองเตนเนลล์มาถึงวอลแตร์อยู่ในฐานะนักเขียนอิสระ แต่ในเยอรมนีชุด
26
Burke, Varieties of Cultural History, 18-19.
19
A
F
T
ความรูด้ ้านประวัตศิ าสตร์และวิชาการด้านอื่นๆ พัฒนาขึน้ ในมหาวิทยาลัยซึง่ เป็ นสถาบันที่ทรงอิทธิพล ทางความคิด ก้าวหน้ ามากกว่าที่อ่ ืนๆในยุโ รป สาเหตุ ห นึ่ ง มาจากความต้อ งการสร้างศู นย์ก ลางทาง ความคิดหลังการปฏิรปู ศาสนา อีกทัง้ ประวัตศิ าสตร์กลายเป็ นพืน้ ฐานสําคัญของความรูแ้ ละเป็ นสาขาวิชา ทีเ่ ป็ นรากฐานสําคัญ ระหว่างกลางศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางศตวรรษที่ 19 มีมหาวิทยาลัยในเยอรมนี กว่า 20 แห่งและศาสตราจารย์กว่า 40 คนซึง่ สอนวิชาทีม่ เี นื้อหาด้านประวัตศิ าสตร์กว่า 200 รายวิชา ในช่ ว งแรกเนื้ อ หาด้า นประวัติศ าสตร์ผ นวกกับ เนื้ อ หาวิช าอื่น ๆเช่ น วรรณกรรม ภาษา วาทศิล ป์ กฎหมาย กรีก ปรัชญา และเป็ นรายวิชาประวัตศิ าสตร์ของศาสตร์สาขาต่างๆรวมถึงวรรณกรรม ปรัชญา วิทยาศาสตร์รวมถึงประวัติศาสตร์เอง ซึ่งเป็ นเนื้อหาที่พฒ ั นาขึ้นจากนักมนุ ษยนิยมเรอเนสซองส์ดงั ที่ กล่ า วมาข้ า งต้ น ข้ อ เขี ย นเชิ ง ประวั ติ ศ าสตร์ จํ า นวนมากและหลากหลายรู ป แบบเช่ น ตํ า รา วารสารวิชาการ วารสารทัวไปและหนั ่ งสือ ซึ่งใช้ในการเรียนการสอนหรือเป็ นผลสืบเนื่องมาจากการ บรรยายในชัน้ เรียน นอกจากปริมาณของข้อเขียนแล้วคุณภาพทางวิชาการยังเป็ นระบบ เป็ นมืออาชีพ และมีมาตรฐานฐานการค้นคว้าสูง ต่ างจากที่อ่ ืนๆในยุโรปที่ยงั คงปรากฏข้อเขียนประวัติศาสตร์ “มือ สมัครเล่น” ค่อนข้างมาก ทําให้การศึกษาทางประวัตศิ าสตร์มที ่ที างในสถาบันและมีสถานะความเป็ น ศาสตร์ตามคําว่า Geschichtswissenschaft 27 ความรูท้ างประวัตศิ าสตร์ในช่วงครึง่ หลังศตวรรษที่ 18 เยอรมนีจงึ มีการแตกแขนงแตกสาขาย่อยในลักษณะที่เป็ นระบบมาก (แม้จะไม่ได้แยกส่วนในความรู้ เบ็ดเสร็จจนกระทังศตวรรษที ่ ่ 19) ทําให้มคี วามสนใจเฉพาะทางประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมสามารถเติบโต ขึน้ มาเป็ นแขนงหนึ่งได้ และกลายมาเป็ นส่วนสําคัญของประวัตศิ าสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
D
R
บริบททางการเมืองยังเป็ นปจั จัยสําคัญของพัฒนาการของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในเยอรมนี มหาวิท ยาลัย ในเยอรมัน เหล่ า นี้ ถู ก สถาปนาขึ้น เพื่ อ รับ ใช้ ท างความคิด และอุ ด มการณ์ แ ต่ ล ะรัฐ ประวัติศ าสตร์ก็ มุ่ ง หวัง เพื่อ นํ า ไปใช้ ป ระโยชน์ ใ นทางนโยบายและทางอุ ด มการณ์ การศึก ษาทาง ประวัติศ าสตร์ยงั มีส่ ว นในการสร้างความชอบธรรมของการธํารงไว้ซ่ึง จารีต ระดับชนชาติแ ละระดับ ท้องถิ่น อีกทัง้ ยังเป็ นบทเรียนทางการเมืองและศีลธรรมตามขนบประวัติศาสตร์นิพนธ์กรีกและโรมัน เนื่องจากเยอรมนีศตวรรษที่ 18 ความเป็ นเอกภาพทางการเมืองและศาสนา สิง่ ทีพ่ อมีร่วมกันคือภาษา และวัฒนธรรม ประเด็นทางวัฒนธรรมจึงเป็ นทีส่ นใจในการทําความเข้าใจรากฐานทางประวัตศิ าสตร์ แม้ จะมีข้อ เขียนประวัติศ าสตร์ท่พี ยามเน้ นให้เ ห็นความเป็ นหน่ ว ยทางการเมือ งที่มเี อกภาพ ก็ไ ม่ไ ด้ สอดคล้องกับความเป็ นจริงทางการเมืองในศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ดมี กี ารแตกแขนงความสนใจเฉพาะ
27
Donald R. Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga (New Haven: Yale University Press, 2003), 9-10, 13.
20
T
ทางประวัติศ าสตร์ออกไปหลากหลาย เช่ น มีประวัติศาสตร์จกั รวรรดิ (Reichsgeschichte; ReichsHistorie) ที่ส นใจการเมือ งการปกครองของจัก รวรรดิเ ยอรมัน มีป ระวัติศ าสตร์ช นชาติเ ยอรมัน (Volkersgeschichte) ซึง่ สนใจชนชาติในแง่การกําเนิดและการดํารงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ โรมันและภายใต้อาณาจักรแฟรงค์ จวบจนมีราชาของตนเองสืบมาจนยุคร่วมสมัย มีประวัตศิ าสตร์ศาสน จัก ร (Kirchengeschichte) ซึ่ง เป็ นประวัติศ าสตร์ค ริส ตศาสนานิ ก ายโปรเตสแตนท์ใ นเชิง สถาบัน มี Landesgeschichte (ประวัติศ าสตร์ท้อ งถิ่น) มีประวัติศ าสตร์โ ลกหรือ ประวัติศาสตร์สากล (historia universalis; Universalhistorie; Weltgeschichte) ซึ่งมีความหลากหลายและนํ าไปสู่การตีพมิ พ์หนังสือ ประวัตศิ าสตร์ระดับพืน้ ฐานจํานวนมาก 28 ขณะทีป่ ระวัตศิ าสตร์โลกหรือประวัตศิ าสตร์สากลยังวางอยูบ่ น การลําดับเวลาแบบไบเบิล้ ซึง่ ผนวกเข้ากับการมองความเปลีย่ นแปลงแบบก้าวหน้าซึง่ รับมาจากแนวคิด ยุคแสงสว่างจากฝรังเศส ่ อย่างไรก็ดปี ระวัติศาสตร์โลกในช่วงศตวรรษที่ 18 ไม่ได้มนี วัตกรรมทาง ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์นกั หรืออาจกล่าวว่าค่อนข้างอนุ รกั ษ์นิยมเนื่องมาจากหลายๆปจั จัย แต่ความสนใจ ทางประวัติศ าสตร์ท่อี าจเรีย กได้ว่า มีค วามริเ ริม่ สูง ในการมองภาพรวมของมนุ ษ ย์ค ือ ประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรม แนวคิด ว่ าด้ว ยวัฒนธรรมและชาติพ นั ธุ์มสี ่ ว นสําคัญ ในการทําความเข้าใจภาพรวมของ มนุ ษยชาติในเชิงประวัตศิ าสตร์ 29
F
27
28
D
R
A
คําว่า Kultur พัฒนามาจากแนวคิดจากยุคคลาสสิกว่าด้วยการอบรมบ่มเพาะปญั ญาของปจั เจก ตามวลี cultura animi ของซิเซโร (Cicero) โดยถูกนํ ามาใช้อย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ 1780 แทนที่คําว่า Geist (spirit) ในการแสดงถึงลักษณะเฉพาะของสังคมมนุ ษย์ อีกทัง้ ยังเกิดคําใหม่คอื Kulturgeschichte (cultural history) ทําให้คําว่า Kultur ถูกใช้เป็ นคําเพื่อการวิเคราะห์ทางประวัตศิ าสตร์ ก่อนหน้ านี้มหี ลายคําที่ใช้ในข้อเขียนทางประวัติศาสตร์โดยมีความหมายครอบคลุมใกล้เคียงกับคํานี้ ได้แก่คําว่า “วรรณกรรม” หรือ literature ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคําละติน littera หมายถึงข้อเขียนที่เป็ น ผลสํ า เร็จ ทางวัฒ นธรรมของมนุ ษ ยชาติ ครอบคลุ ม ศิ ล ปศาสตร์ แ ละวิท ยาศาสตร์ เป็ น นิ ย ามที่ ประวัตศิ าสตร์วรรณกรรมและศาสตร์ยคุ เรอเนสซองส์ใช้ อีกคําหนึ่งคือ mens (ละติน), esprit (ฝรังเศส), ่ Geist (เยอรมัน) หรือ spirit ซึง่ มีความเป็ นนามธรรมและความเป็ นทฤษฎีสงู นักเขียนฝรังเศสในศตวรรษ ่ ที่ 18 เช่นฟองเตนเนลล์และวอลแตร์ทใ่ี ช้วลี esprit human เป็ นแนวคิดทีช่ ่วยทําความเข้าใจพัฒนาการ ของมนุษยชาติ
28 29
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 13-14. Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 21.
21
F
T
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1780 คําว่า “วัฒนธรรม” ถูกนํ าใช้ในแนวคิดว่าด้วยแนวทางการศึกษา ทางประวัตศิ าสตร์ ในปี 1781 จีโอวันนี อันเดรส (Giovanni Andres) ตีพมิ พ์ Dell'origine, progressi e stato attuale di ogni letteratura (the Origin, Progress, and the Current State of All Literature) โดย เริม่ ใช้คาํ ว่า coltura เพื่อหมายถึงสภาวะหรือปจั จัยของความสําเร็จของมนุ ษย์ทค่ี งอยู่ในวรรณกรรม โดย ชีใ้ ห้เห็นถึงการส่งผ่านทางวัฒนธรรมจากอารยธรรมทีด่ ํารงอยู่ก่อน อีกทัง้ ชีใ้ ห้เห็นถึงอิทธิพลของสภาวะ อากาศและเสรีภาพทางการเมืองที่ส่งผลให้อารยธรรมกรีกประสบความสําเร็จ และทําให้ยุโรปแตกต่าง จากแอฟริกาและเอเชีย การใช้คําว่า “วัฒนธรรม” ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ของนักเขียนเยอรมันด้วย ความตัง้ ใจใช้คาํ นี้มรี ะบบคิดและมีอทิ ธิพลสูงกว่า โยฮัน คริสตอฟ อเดลุง (Johann Christoph Adelung) แทนทีค่ ําว่า Geist ด้วย Kultur โดยแสดงถึงแนวคิดว่าด้วยความก้าวหน้าทีแ่ ตกต่างจากกรอบแบบยุค แสงสว่าง ในปี 1771 อเดลุงตีพมิ พ์ Über die geschichte der deutschen sprache (the History of the German Language) อเดลุงชีว้ ่าวัฒนธรรมซึง่ เป็ นผลมาจากพัฒนาการของเกษตรกรรมและการมีสมบัติ ส่วนตัว แล้วภาษาจึงถือกําเนิดขึน้ ตามมา ชีว้ ่าพัฒนาการของภาษาไม่อาจเป็ นทีเ่ ข้าใจได้หากไม่มคี วาม เข้าใจพัฒนาการทางวัฒนธรรม 30 ต่อมาแนวคิดดังกล่าวเป็ นประเด็นหลักของประวัตศิ าสตร์ชน้ิ สําคัญที่ ตีพมิ พ์ปีต่อมา อเดลุงชีว้ ่าคําว่า Kultur มีความหมายครอบคลุมได้ดกี ว่าคําอื่นๆ โดยหมายถึงการเปลีย่ น ผ่ านจากสภาวะพื้น ฐานคล้า ยสัต ว์มาสู่ ก ารดํารงชีว ิต ในสัง คมภายใต้ค วามสัมพันธ์ท่ีซบั ซ้อ นขึ้น จึง ต้องการสํานึกทีผ่ ่านการขัดเกลามากขึน้ 31 การริเริม่ การใช้คํานี้โดยอเดลุงส่งผลต่อประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ และมนุ ษยศาสตร์อย่างต่ อเนื่อง โดยข้อเขียนของแฮร์เดอร์มสี ่วนสําคัญในการวางกรอบหรือปรัชญา ประวัติศาสตร์ท่สี ่ งผลต่ อการเขียนประวัติศ าสตร์วฒ ั นธรรม สําหรับอเดลุง สิง่ ที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” พัฒนาขึน้ จากปจั จัยแวดล้อมทางกายภาพ จึงเป็ นนิยามที่ให้ความสําคัญต่อสภาวะทางวัตถุ (material condition) ของวัฒนธรรม
A
29
R
30
D
ในส่วนนี้แตกต่างจากแนวคิดความก้าวหน้าของมนุ ษยชาติยุคแสงสว่างแบบฝรังเศสตรงที ่ ่ แบบ ฝรังเศสให้ ่ ความสําคัญกับพัฒนาการของความเป็ นเหตุและผลสากล นํ าไปสู่ความก้าวหน้าของพลเมือง โลกโดยรวม แต่ แนวคิดความก้าวหน้ าแบบเยอรมัน วางอยู่บนการพัฒนาด้านวัฒนธรรมซึ่งนํ าไปสู่ เอกลักษณ์ เฉพาะของแต่ ละชนชาติ ความสนใจทางประวัติศาสตร์จงึ เปลี่ยนจากโลกในภาพรวมมาสู่ 30
Kelley, "The Old Cultural History," 91. Kelley, "The Old Cultural History," 91. ใน Versuch einer Geschichte der Cultur des menschlichen Geschlechts (1782; Essay on the History of the Culture of the Human Race) อเดลุงกล่าวว่า “I should have preferred a German expression instead of the word, ‘culture’, but I know none that captures its meaning. ‘Refinement,’ ‘enlightenment,’ ‘development of capacities’ all espress some but not the whole of it.”
31
22
T
ประวัตศิ าสตร์ชนชาติ ทัง้ ยังให้ความสําคัญกับพลวัตความเปลีย่ นแปลงของพัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ ขณะทีย่ ุคแสงสว่างมองความเป็ นเหตุผลเชิงปรัชญาตามคําว่า raison และ esprit ค่อนข้างมีเสถียรภาพ และนิ่ง ขณะทีค่ ําว่า Kultur มีนัยของความอุดมและหลากหลายมากกว่า เปลีย่ นตามบริบทและไม่อาจ คาดหมายได้ของประสบการณ์มนุ ษย์ รวมถึงเป็ นผลจากอิทธิพลภายนอกและความเป็ นท้องถิน่ อีกทัง้ ยัง เป็ นแนวคิดทางวัฒนธรรมที่เ ปิ ดกว้างครอบคลุมลัก ษณะที่เ คยถูก มองว่ าเป็ นอนารยะ สิง่ แปลกและ ตํานาน ซึ่งภายใต้กรอบพัฒนาการของมนุ ษยชาติแบบยุคแสงสว่างยอมรับได้ยาก การทําความเข้าใจ ผลผลิตหรือปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์เปลี่ยนจากแผนการและกลไกระบบใหญ่จาก การทรงสร้างของพระเจ้า มาเป็ นการทีม่ นุ ษย์สร้างตัวตนของตนเอง (human self-creation) 32
D
R
A
F
สิง่ นี้สอดคล้องกับแฮร์เดอร์ท่เี ห็นว่าประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมนัน้ สนใจปรากฏการณ์เฉพาะยุค สมัยโดยเฉพาะในทางภาษาซึง่ มองว่าเป็ นผลจากปญั ญาของมนุ ษย์ทม่ี คี วามซับซ้อนและลื่นไหลมากกว่า เพียงความเป็ นเหตุเป็ นผล ใน Ideen zur Philosophie der Geschichte der Menschheit (1784–91; Ideas for the Philosophy of History of Humanity) แฮร์เดอร์กล่าวถึง “วิถที างวัฒนธรรม” (der Gang der Kultur) หรือ “ห่วงโซ่ทางวัฒนธรรม” (die Kette der Kultur) ซึง่ กระบวนการดังกล่าวหมายถึงการบ่ม ั นธรรมจะ เพาะคุณลักษณะทางสติปญั ญาและภาษา ซึง่ แฮร์เดอร์เชื่อว่าความเข้าใจทางประวัตศิ าสตร์วฒ ช่วยสร้างความเข้าใจความเป็ นเหตุผลของมนุ ษย์ซง่ึ ปราชญ์ยุคแสงสว่างสนใจ แฮร์เดอร์ชว้ี ่าสิง่ ทีน่ ํ าไปสู่ ความเข้าใจไม่ใช่จติ ที่อยู่เหนือโลกทางกายภาพและอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงทางประวัตศิ าสตร์ แต่ เป็ นการสําแดงเป็ นรูปธรรมเฉพาะช่วงเวลาผ่านผลผลิตทางวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัย แฮร์เดอร์เห็นว่า เป้าหมายของประวัติศาสตร์วฒ ั ธรรมไม่ใช่เพียงการวิจารณ์ปรัชญาเท่านัน้ แต่ จะมาแทนที่ปรัชญาใน ฐานะศาสตร์ทเ่ี ป็ นรากฐานในการทําความเข้าใจความเป็ นมนุษย์ นอกจากแฮร์เดอร์แล้วมีนักคิดอีกหลาย ท่านที่เขียนถึงประวัติศาสตร์ในทิศทางเดียวกันที่วพิ ากษ์การศึกษาด้านปรัชญาโดยหันไปหามิติทาง สังคมและวัฒนธรรมของความรูท้ างประวัตศิ าสตร์โดยให้ความสําคัญต่อความต้องการทางกายภาพของ มนุ ษย์ เช่ น อาหารการกิน ที่อ ยู่อาศัย เครื่อ งนุ่ ง ห่ม เทคโนโลยีพ้นื ฐานและองค์ประกอบอื่นๆที่เ ป็ น รากฐานทางวัตถุของวัฒนธรรม 33 32
แนวคิดว่าด้วยพัฒนาการทางวัฒนธรรมทีก่ ล่าวมาสอดคล้องกับข้อเขียนของวิโก ทีเ่ ห็นว่าปจั จัย หลักของการเกิดของวัฒนธรรมไม่ได้มาจากจิตวิญญาณแต่มาจากการช่วงชิงทางทรัพยากรเพื่อการเอา
32 33
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 21-22. Kelley, "The Old Cultural History," 92.
23
R
A
F
T
ชีวติ รอด ไม่ได้มาจากความเป็ นเหตุเป็ นผลของมนุ ษย์ ดังทีว่ โิ ก้ใช้คําว่า sapienza poetica (poetic logic หรือ poetic wisdom) เพื่อกล่าวถึงพัฒนาการทางวัฒนธรรม ซึง่ ไม่ได้วางอยู่บนตรรกะ วิทยาศาสตร์และ เหตุ ผ ล แต่ ม าจากความหวาดกลัว ความพิศ วงและจิน ตนาการ เช่ น ความไม่ รู้แ ละหวาดกลัว ต่ อ ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นฟ้าผ่านํ าไปสู่พฒ ั นาการทางสังคมและวัฒนธรรมเช่น ครอบครัว ศาสนาและ ภาษา ข้อ แตกต่ า งสํ า คัญ ระหว่ า งวิโ กกับ แนวคิด ว่ า ด้ว ยประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมในยุค นี้ ค ือ ความ เฉพาะเจาะจงทางประวัติ ศ าสตร์แ ละทางภู ม ิศ าสตร์ โดยเฉพาะที่ นํ า ไปสู่ ป ระเด็ น ชาติ พ ัน ธุ์ ใ น ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ข้อเขียนประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมตัง้ แต่ยุคเรอเนสซองส์เรื่อยมาค่อนข้างเห็น ตรงกันถึงความยิง่ ใหญ่ทางวัฒนธรรมของยุคคลาสสิกโดยเฉพาะกรีกโบราณ รวมถึงเรอเนสซองส์ทฟ่ี ้ื นฟู ความรูจ้ ากยุคดังกล่าว (ชัดเจนในกรณีของชาวอิตาลีอย่างวิโกและอันเดรส) หากมองในทางภูมศิ าสตร์ก็ คือแหล่งอารยธรรมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทีถ่ ูกมองว่าวัฒนธรรมยุโรปโดยรวมงอกเงยออกมา โดยยังวาง อยู่บ นความเป็ น สากลของวัฒ นธรรมหรือ การมีรากเหง้า ทางวัฒนธรรมร่ว มกัน ของมนุ ษ ย์ ปราชญ์ เยอรมันในยุคนี้ให้ความสําคัญต่อความริเริม่ และเอกลักษณ์ในทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะลักษณะเฉพาะ ของชนชาติซง่ึ บริสุทธิ ์กว่าในทางวัฒนธรรมและรับอิทธิพลจากภายนอกน้อยกว่า การให้ความสําคัญต่อ ลักษณะเฉพาะของชนชาติเป็ นเหตุและเป็ นข้ออ้างทีท่ ําให้นักประวัตศิ าสตร์หนั ไปสนใจความรุ่งเรืองทาง วัฒนธรรมในภูมภิ าคและช่ ว งเวลาที่ต่ างออกไปคือ ในเยอรมนี เ อง รวมไปถึง ประเด็นเรื่อ งชาติพ นั ธุ์ คริสตอฟ ไมเนอร์ส์ (Christoph Meiners) นักปรัชญาและนักประวัตศิ าสตร์ชาวเยอรมันมองว่าอารย ธรรมกรีก ได้รบั อิทธิพ ลจากอารยธรรมอื่นค่ อ นข้างสูง สอดคล้อ งกับที่ทาซิทสั (Tacitus) เขียนไว้ใ น Germania ไมเนอร์ส์ ได้ชใ้ี ห้เห็นถึงความสําคัญในความบริสุทธิ ์ของขนบธรรมเนียมของชนชาติเยอรมัน แนวคิดเชื้อชาตินิยมนี้มอี ิทธิพลอย่างสูงต่อประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงนี้ มีข้อเขียนหลายชิ้นที่ ชี้ใ ห้เ ห็น ว่ า พัฒ นาการทางวัฒ นธรรมไม่ไ ด้เ กิด ขึ้น ผ่ า นการอบรมบ่ ม เพาะในระดับ ป จั เจกแต่ เป็ น พัฒนาการทางวัฒนธรรมของชนชาติผ่านกาลเวลาหลายชัวคน ่ 34 คําว่า Kultur มีความหมายว่าเป็ นสิง่ ที่ มนุ ษย์จะไปถึงได้ ก็ต่อเมื่อมนุ ษย์สงสมตนเองและสั ั่ งคมพัฒนาขึน้ ผ่านพ้นจากสภาวะธรรมชาติอนั ดิบ เถื่อน สู่ค วามเป็ นอารยะซึ่งมนุ ษย์จะมีระเบียบทางสังคม ซึ่งแสดงออกอย่างสมบูรณ์ ผ่านรัฐชาติและ ศิลปะวิทยาการเฉพาะตน
D
33
โยฮัน กอทท์ฟรีด ไอค์ฮอร์น (Johann Gottfried Eichhorn) ขณะเป็ นศาสตราจารย์ดา้ นภาษา ตะวัน ออกที่ม หาวิท ยาลัย เกิร์ท ธิง เก้ น เขีย นเรื่อ งวรรณกรรมและวัฒ นธรรมยุโ รปใน Allgemeine
34
Kelley, "The Old Cultural History," 92.
24
A
F
T
Geschichte der Cultur und Literatur des neuern Europa (1795) ชีว้ ่าประวัตศิ าสตร์ควรครอบคลุมทัง้ ศิลปะวิทยาการที่เ คยอยู่ใ นส่ วนของ Literaturgeschichte และวัฒนธรรมที่อยู่ใ นสังคมทัวไปที ่ ่เป็ น Kulturgeschichte ซึ่งทัง้ สองส่วนต้องนํ ามาทําความเข้าใจร่ว มกันไม่อาจแยกกันได้ ไอค์ฮอร์นชี้ว่ า วัฒนธรรมเป็ นส่วนที่เกิดก่อนซึ่งปูทางให้กบั วรรณกรรมหรือศิลปะวิทยาการ หากเขียนประวัตศิ าสตร์ เพีย งด้า นเดีย วจะขาดความสมบู ร ณ์ ไอค์ฮ อร์น เน้ น ว่ า เนื้ อ หาที่สํ า คัญ ไม่ไ ด้อ ยู่ ท่ีค วามเป็ น ไปของ เหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ แต่อยู่ท่สี ภาวะทางวัฒนธรรม (Culturzustände) ไอค์ฮอร์นอธิบายถึง พัฒนาการทางการเมืองว่าด้วยเสรีภาพในอิตาลีและเยอรมนีในช่วงต้นสมัยใหม่ เริม่ จากวัฒนธรรมใหม่ ในทางวรรณกรรมผนวกกับแรงผลักดันจากนิกายโปรเตสแตนท์ในเยอรมนี รวมไปถึงความก้าวหน้าทาง ความคิดผ่านปรัชญา วิทยาศาสตร์และทัศนคติแบบมนุ ษยนิยม อีกทัง้ มีการวางกรอบคิดหรือปรัชญา ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมด้วย ดาเนียล เยนิช (Daniel Jenisch) ได้เขียน Universalhistorischer Ueberblick der Entwickelung des Menschengeschlechts, als eines sich fortbildenden Ganzen (1801; Overview of Universal History of the Evolution of the Human Race: continuously forming as a whole) ซึง่ เป็ นข้อเขียนชิน้ แรกๆทีก่ ล่าวถึงปรัชญาหรือหลักของการเขียนประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม เยนิ ชกล่ าวถึง “การศึก ษาธรรมชาติของมนุ ษ ย์” โดยใช้คําว่า “anthropology” โดยชี้ใ ห้เ ห็นว่ า ประวัตศิ าสตร์มนุ ษย์ไม่ได้ดําเนินไปได้ดว้ ยความก้าวหน้ าหรือหลักของเหตุและผลตามแบบปราชญ์ยุค แสงสว่างเช่น Immanuel Kant หรือ Isaak Iselin แต่เป็ นผลจากการต่อสูร้ ะหว่างสัญชาตญาณต่างๆ ดังนัน้ วัฒนธรรมจึงเป็ นสาระสําคัญในการทําความเข้าใจพัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ ไม่ใช่การทําความ เข้าใจความเป็ นเหตุเป็ นผล (reason)35
D
R
แนวคิด ประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมของอเดลุ ง ไอค์ฮ อร์น และเยนิ ช เปิ ด ประตู สู่ ค วามคิด ทาง วัฒนธรรมที่เปิ ดกว้างกว่ากรอบยุคแสงสว่างซึ่งค่อนข้างมองวัฒนธรรมในลักษณะคล้ายกลไก ยอมรับ ความขัดแย้งไม่ลงรอยและลื่นไหลแล้ว ยังเปิ ดทางสู่ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมจากเบือ้ งล่างหรือ “history from below” ทีใ่ ห้ความสําคัญกับลักษณะทางกายภาพและทางวัตถุ (material condition) ทางวัฒนธรรม ทีเ่ ป็ นรากฐานทางวัฒนธรรมของสังคมนัน้ ๆ ไม่ว่าจะเป็ นสภาพแวดล้อม ภูมปิ ระเทศและภูมอิ ากาศ การ ดํารงชีวติ ลักษณะทางชาติพนั ธุ์ การเข้าสังคม การรวมตัวทางการเมืองและพิธกี รรมศาสนา ไม่น้อยไป กว่าวัฒนธรรมการเขียนหรือผลผลิตทางวัฒนธรรมระดับบนของสังคม การให้ความสําคัญต่อวัฒนธรรมที่ เคยเป็ น “เบือ้ งล่าง” เนื่องจากการเปิ ดกว้างยอมรับความหลากหลายและสิง่ แปลก รวมไปถึงสิง่ ทีน่ ัก
35
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 22.
25
D
R
A
F
T
ประวัตศิ าสตร์ยุคแสงสว่างมองว่างมงายไร้เหตุผลในทางวัฒนธรรม ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในเยอรมัน ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 หันเหไปในทิศทางของ “วัฒนธรรมประชาชน” (popular culture) มากขึน้ โดยเฉพาะกระแสโรแมนติกในเยอรมนีทร่ี วบรวมและศึกษาคติชนและเพลงพื้นบ้าน ต่อมาในศตวรรษที่ 19 กระแสนี้แ พร่ห ลายไปทัวยุ ่ โ รปและเข้าสู่ค วามสนใจทางวิชาการศึก ษาวัฒนธรรม โดยเฉพาะ มานุษยวิทยาในศตวรรษที่ 2036
36
Burke, Varieties of Cultural History, 16.
26
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในศตวรรษที่ 19
F
T
ข้อเขียนว่าด้วยประวัตศิ าสตร์นิพนธ์หลายชิน้ แสดงถึงความสนใจและความพยายามสถาปนาให้ ประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมมีท่ที างเป็ นสาขาที่เ ป็ นเอกเทศในตัว เอง ไม่ไ ด้ผูก อยู่ก ับศาสตร์ส าขาอื่นๆ เหมือนช่วงต้นศตวรรษที่ 18 จํานวนสิง่ พิมพ์ทช่ี ่อื มีคาํ ว่า Kultur มีจาํ นวนเพิม่ มากขึน้ เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ช่วงกลางศตวรรษจึงเป็ นยุคทองของ Kulturgeschichte มีงานครอบคลุมอาณาบริเวณประวัตศิ าสตร์ โลกและท้อ งถิ่น ยุค โบราณและสมัย ใหม่ อีก ทัง้ มีง านที่เ ป็ น ความรู้ทวไปและเชี ั่ ่ย วชาญเฉพาะเช่ น วรรณกรรม การแพทย์ การค้า โดยส่วนใหญ่สําหรับผูอ้ ่านทัวไปเป็ ่ นหลัก ในมหาวิทยาลัยมีการขยายตัว ทัง้ รายวิชา จํานวนผูส้ อน มีการก่อตัง้ สมาคมประวัตศิ าสตร์หลายสมาคมโดยมีผูเ้ ข้าร่วมจํานวนมากจาก หลายอาชีพและภูมหิ ลัง ซึง่ นํ าไปสู่การที่ Kulturgeschichte เป็ นข้อเขียนประเภทหนึ่งและเป็ นสาขาหนึ่ง ของการศึกษาประวัตศิ าสตร์ทม่ี ที ท่ี างของตนในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในช่วงเวลาเดียวกันนัน้ ก็เป็ น ช่วงผลิบานของ Geschichtswissenschaft ซึง่ มีกลุ่มของลีโอโปล ฟอน รังเก (Leopold von Ranke) เป็ นหัวหอก ทําให้ Kulturgeschichte มีภาพเป็ นความสนใจสมัครเล่นและเป็ นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หนังสือขายดี และไม่ถงึ มาตรฐานในแง่เอกสารหลักฐานและความน่ าเชื่อถือของวงวิชาการตามแบบรังเก 37
A
36
D
R
อย่างไรก็ด ี Kulturgeschichte ที่ตีพมิ พ์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีลกั ษณะเด่นอยู่หลาย ประการตามแนวทางทีแ่ ฮร์เดอร์ อเดลุงและนักเขียนท่านอื่นๆได้วางไว้ตงั ้ แต่ปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่ง แตกต่างจากความสนใจของ Geschichtswissenschaft อย่างชัดเจน กล่าวคือการให้ความสําคัญกับ วัฒนธรรมทางวัตถุ (material culture) และข้อมูลทางชาติพนั ธุว์ รรณนา พิธกี รรมและคติชน ซึง่ มีการ เก็บรวบรวมและจัดแจงอย่างเป็ นระบบมากขัน้ อันเป็ นโภชผลจากความรู้ด้านดังกล่าวและการก่ อตัง้ พิพธิ ภัณฑ์ทางชาติพนั ธุ์วทิ ยาในเวลานัน้ อีกทัง้ การเกิดขึน้ ของมานุ ษยวิทยาในศตวรรษที่ 19 ซึง่ เป็ น สาขาวิชาใหม่และเป็ นสาขาใหม่ทเ่ี ริม่ ความพยายามผูกขาดการศึกษาด้านวัฒนธรรมไว้ ทัง้ ยังได้สร้าง นิยามของวัฒนธรรมในกรอบความรูแ้ บบชาติพนั ธุว์ รรณนามากขึน้ กล่าวคือขนบประเพณี พิธกี รรมและ คติช นที่ผูก อยู่ก บั ทฤษฎีว ิทยาศาสตร์ว่ าด้ว ยชาติพ นั ธุ์ซ่ึง เป็ นผลมาจากแนวคิด ของชาร์ล ส์ ดาร์ว ิน (Charles Darwin) ทําให้เริม่ ละทิง้ กรอบพัฒนาการทางวัฒนธรรมแบบมนุ ษยนิยมและแบบยุคแสงสว่างที่ มีเส้นแบ่งระหว่างยุคปา่ เถื่อนมาสู่อารยธรรม มาใช้คําอธิบายการเปลีย่ นผ่านทางวัฒนธรรมทีม่ องว่าเป็ น ผลจากการต่อสูแ้ ย่งชิงเพื่อความอยู่รอด และการเปลีย่ นผ่านทางวัฒนธรรมเป็ นผลจากการต่อสู้ช่วงชิง
37
Kelley, "The Old Cultural History," 95-96.
27
เพื่อเอาตัวรอด เห็นถึงความต่อเนื่องระหว่างสภาวะธรรมชาติและวัฒนธรรม ผลในทางอ้อมทีต่ ามมาและ ชัดเจนขึน้ ในช่วงปลายศตวรรษคือทัศนะทีเ่ ห็นว่าในอารยธรรมยังคงมีสญ ั ชาตญาณดิบของมนุ ษย์ทํางาน อยู่อย่างดี แม้จะมีส่วนบรรจบระหว่างมานุ ษยวิทยาและประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในข้อเขียนหลายชิน้ ที่ กล่าวถึงยุคก่อนประวัตศิ าสตร์ แต่ในภาพรวมทัง้ สองสาขามีทท่ี างค่อนข้างแยกกัน
D
R
A
F
T
แนวคิดว่ าด้ว ยนิยามของวัฒนธรรมที่เคยให้น้ํ าหนักกับการเขียนถู กท้าท้ายอย่างรุนแรงจาก นิยามแบบมานุ ษยวิทยา ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมศตวรรษที่ 19 จึงหนีไม่พน้ การเหยียบเรือสองแคม ข้า งหนึ่ ง อยู่ บ นแนวคิด ว่ า วัฒ นธรรมเป็ น ผลมาจากความจํา เป็ น ทางกายภาพและสภาวะวัต ถุ ข อง วัฒนธรรมทีจ่ าํ เป็ นต่อการอยูร่ อดและปากท้องซึง่ สะท้อนให้เห็นผ่านข้อมูลทางชาติพนั ธุว์ รรณนา อีกฝงั ่ หนึ่ ง คือแง่มุมทางจิต ใจของวัฒนธรรมผ่ านการสร้างสรรค์ทางวรรณกรรม ศิล ปะและปรัชญา สภาพ ดังกล่าวเป็ นทัง้ จุด แข็งและจุดอ่ อนของประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในช่ว งครึ่ง หลังของศตวรรษ ในด้าน จุด อ่ อ นคือ การแยกฝ่า ยออกจากกัน อย่า งชัด เจนระหว่ า งนั ก ประวัติศ าสตร์ท่ีฝ กั ใฝ่ไ ปทางชาติพ ัน ธุ์ วรรณนาเน้ นสัง คมที่ค่อ นข้างมีลกั ษณะพื้นฐานหรือสัง คมดึกดําบรรพ์โดยสนใจที่วฒ ั นธรรมทางวัต ถุ ั ่ ่งคือนักประวัตศิ าสตร์ทส่ี นใจวัฒนธรรมทางจิตใจ (spiritual culture) โดยมี (material culture) อีกฝงหนึ ั ่ ความสนใจ หลักฐาน ยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์ (Jacob Burckhardt) เป็ นหนึ่งในแนวทางนี้ โดยทัง้ สองฝงมี ข้อ มูล อาณาบริเ วณ ยุค สมัยและคําอธิบายการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมที่อ อกห่ างจากกันมากขึ้น เรื่อ ยๆ จนเกือ บไม่ ม ีล ัก ษณะร่ ว มในการเป็ น ประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรม ซึ่ง ทํ า ให้ค วามเข้ม แข็ง ของ Kulturgeschichte ในการสถาปนาเป็ นสาขาวิชาการที่น่าเชื่อถือและมันคงอ่ ่ อนลงเรื่อยๆ ในช่วงเวลาที่ สาขาทางวิชาการมีการแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนและ Geschichtswissenschaft มีความน่ าเชื่อถือ ทางวิชาการ มีระเบียบวิธชี ดั เจน มีวารสารวิชาการและมีชุมชนวิชาการทีเ่ หนียวแน่ นอยู่ในมหาวิทยาลัย ต่างๆ ทําให้ Kulturgeschichte ถูกมองว่าเป็ นผลผลิตของแนวคิดยุคเก่าทีไ่ ม่เป็ นวิทยาศาสตร์เนื่องจาก ยังใช้ศพั ท์อย่าง “จิตวิญญาณ” (Geist) อยู่ในคําอธิบายเชิงอภิปรัชญา แม้ว่าจะเริม่ มีการหยิบเอา คําอธิบายแบบจิตวิทยาสังคมและสังคมวิทยาซึง่ เป็ นศาสตร์ใหม่เข้ามาใช้ในการอธิบายทางประวัตศิ าสตร์ อีกทัง้ นิยามและแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมก็มคี วามหลากหลายและเป็ นที่ถกเถียงจากหลากสาขาและ หลากสํานัก รวมไปถึงข้อถกเถียงทีเ่ กีย่ วเนื่องมาจากข้อเขียนของดาร์วนิ อีกทัง้ Kultur ยังเป็ นคําสําคัญ อยู่ทศ่ี ูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาในช่วงทศวรรษที่ 1870 ภายใต้นโยบายรวม ชาติ Kulturkampf ของ ออตโต ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) นายกรัฐมนตรีปรัสเซียขณะนัน้ ส่วนในแง่ดคี อื ความหลากหลายและแพร่หลายของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม รวมถึงลักษณะของการบูร ณาการรับเอาความรูแ้ ละข้อค้นพบจากสาขาชีววิทยา โบราณคดี ภาษาศาสตร์ ชาติพนั ธุ์วทิ ยา คติชน
28
ศึกษาและสังคมวิทยา ทําให้ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเป็ นสาขาทีเ่ ป็ นพืน้ ทีข่ องข้อถกเถียงทางด้านทฤษฎี และวิธวี ทิ ยา เป็ นสาขาทีม่ กี ารริเริม่ ทางกรอบแนวคิดและระเบียบวิธศี กึ ษาวิจยั อย่างต่อเนื่อง วิ กฤตกับวัฒนธรรม: ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมของยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์
R
A
F
T
Kulturgeschichte สนใจการเปลี่ย นผ่ า นจากสภาวะธรรมชาติ ใกล้เ คีย งสัต ว์ แ ละปราศจาก วัฒนธรรมมาสู่สภาวะทีส่ งู ขึน้ ในลักษณะ “ประวัตศิ าสตร์มนุ ษยชาติ” (Geschichte der Menschheit) โดย อธิบายถึงพัฒนาการทางด้านวัฒนธรรมของมนุ ษย์ในภาพรวมและไม่เน้ นความเป็ นไปของเหตุการณ์ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 Kulturgeschichte มีสถานภาพเป็ นประวัตศิ าสตร์ทางเลือกจากประวัตศิ าสตร์ การเมืองทีใ่ ห้ความสําคัญต่อรัฐ สงคราม การทูตผ่านเอกสารราชการทีส่ ะท้อนการกระทําของผูม้ อี ํานาจ ทางการเมือง ความเปลีย่ นแปลงของ Kulturgeschichte อีกประการหนึ่งในเวลานัน้ การเบนความสนใจ จากประวัติศ าสตร์มนุ ษยชาติแ คบลงมาสู่ประวัติศาสตร์ชนชาติ โดยมี Volk เป็ นหน่ วยศึก ษาทาง ประวัติศาสตร์ ภายหลังส่งอิทธิพลต่อการศึกษาทางชาติพนั ธุ์วรรณนา (Volkskunde) ด้วย แนวโน้ ม สําคัญอันหนึ่งคือการมองการดํารงอยูข่ องชนชาติในลักษณะของการต่อสูเ้ พื่อการอยู่รอดตามแนวคิดของ ดาร์วนิ ทีแ่ พร่หลายในขณะนัน้ ทําให้ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงกลางศตวรรษเป็ นต้นไปมีลกั ษณะ การสืบประวัตศิ าสตร์และความเป็ นมาของชาติพนั ธุ์ แม้เป็ นที่นิยมแต่ปญั หาหลักของประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมช่วงนี้ยงั คงเป็ นการขาดความเคร่งครัดด้านระเบียบวิธ ี การค้นคว้าและหลักวิเคราะห์ในฐานะที่ เป็ นวิชาการสาขาหนึ่ง ทําให้ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมเป็ นที่ดูแคลนของนักประวัติศาสตร์เหตุการณ์ การเมือง เมือ่ มีประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมชิน้ สําคัญและมีคุณูปการออกมา คําวิจารณ์จากนักประวัตศิ าสตร์ อีกกลุ่มมักเป็ นไปในทางลบ 38 37
D
ในบรรยากาศวิช าการท่ า มกลาง “นั ก ประวัติศ าสตร์ม ือ อาชีพ ” ที่เ ป็ น กลุ่ ม ก้ อ นมีท่ีท างใน มหาวิทยาลัย ยังมีนกั ประวัตศิ าสตร์และผลงานชิน้ สําคัญๆทีย่ งั คงให้ความสําคัญกับวัฒนธรรมทีแ่ ตกต่าง จาก Kulturgeschichte โดยเฉพาะข้อ วิจ ารณ์ เ รื่อ งความไม่ เ ป็ น มือ อาชีพ และไม่ เ ป็ น ที่ย อมรับ ในวง วิ ช าการ ในยุ ค นี้ ม ี ข้ อ เขี ย นประวั ติ ศ าสตร์ ว ั ฒ นธรรมหลายชิ้ น ที่ ห ลุ ด พ้ น จากข้ อ จํ า กั ด ของ Kulturgeschichte ในเยอรมนี เ องที่ก ารค้น คว้า ทางประวัติศ าสตร์ห ัน ไปหาเอกสารราชการและการ ค้นคว้าในกองบรรณสาร ความสนใจทางวัฒนธรรมก็ไม่ได้หายไปจากนักประวัตศิ าสตร์อาชีพ แม้แต่รงั เก
38
John Roderick Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, Mcgill-Queen's Studies in the History of Ideas (Montreal ; Ithaca: McGill-Queen's University Press, 2000), 173-174.
29
เองก็ยงั ให้ความสนใจในมิตทิ างวัฒนธรรมซึง่ แทรกอยูใ่ นงานหลายชิน้ ในงานบางชิน้ รังเกให้พน้ื ทีม่ ากถึง ทัง้ บทดังเช่น Englische Geschichte, vornehmlich im 17 Jahrhundert (Vol. 1, 1859; History of England Principally in the Seventeenth Century) ที่มที งั ้ บทกล่าวถึงวรรณกรรมและความคิดในรัช สมัยพระนางเจ้าเอลิซาเบ็ธและพระเจ้าเจมส์ และในปี 1835 รังเกยังเขียนบทความขนาดยาวว่าด้วย ประวัตศิ าสตร์วรรณกรรมในคาบสมุทรอิตาลี 39 38
F
T
แต่ผทู้ ไ่ี ด้ช่อื ว่ามีอทิ ธิพลต่อประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในวิชาการเยอรมันคือยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์ (Jacob Burckhardt) นักประวัตศิ าสตร์ชาวสวิส เบิรค์ ฮาร์ดท์ไม่ได้มพี ้นื ฐานมาจากความสนใจใน Kulturgeschichte แบบเก่า แต่เป็ นผลผลิตรุ่นแรกๆ จากระบบการศึกษาด้านประวัตศิ าสตร์รปู แบบใหม่ จากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี ซึ่ง เป็ นหนึ่ง ในนักเรียนของรังเกที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลนิ และมาศึกษา ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมที่มหาวิทยาลัยบอนน์ ในเวลาต่ อมา หลังจากนัน้ กลับมาเป็ นศาสตราจารย์ท่ี มหาวิทยาลัยบาเซิลจนเกษียณอายุ ระหว่างนี้ได้รบั ข้อเสนอตําแหน่ งศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยในเยอรมนีถงึ 2 ครัง้ แต่ปฏิเสธ 40 ข้อเขียนของเบิรค์ ฮาร์ดท์ครอบคลุมกรีกยุคโบราณ ต้นยุคคริสต์ศาสนาไปจนถึงอิตาลีในสมัยเรอเนสซองส์ ซึง่ เป็ นงานทีม่ อี ทิ ธิพลทีส่ ุดต่อการศึกษาสมัยเรอ เนสซองส์และต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม คุณูปการสําคัญของเบิรค์ ฮาร์ดท์คอื การศึกษายุคเรอ เนสซองส์โดยศึกษาภาพรวมมากกว่าเพียงจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรมและวรรณกรรม แต่ ยังศึกษาถึงสถาบันทางสังคมต่างๆ ในชีวติ ประจําวัน
A
39
D
R
การที่เ บิร์ค ฮาร์ด ท์ต ัด สิน ใจศึก ษาด้า นวัฒ นธรรมนั น้ สวนกระแสวิช าการประวัติศ าสตร์เ ชิง วิทยาศาสตร์ในสมัยนัน้ ซึ่งกลุ่มของรังเกเป็ นหัวหอก หากมองทางหนึ่งอาจดูล้าหลังเพราะกลับไปหา Kulturgeschichte ซึง่ วงวิชาการประวัตศิ าสตร์สาํ นักของรังเกขณะนัน้ ค่อนข้างดูแคลน หากมองอีกแง่มุม หนึ่งอาจเป็ นการตัง้ ใจปฏิเสธทัศนะแบบวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้าประวัตศิ าสตร์ทส่ี นใจแต่ความเป็ นไป ของเหตุ การณ์ทางการเมืองและการเฟ้นหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และที่สําคัญประวัติศาสตร์ การเมืองของรังเกยังมีทศั นะรัฐนิยมอย่างชัดเจน Kulturgeschichte ยังมีภาพของการท้าทายรัฐเนื่องจาก การให้ความสําคัญต่อ Volk มากกว่าการเมืองและอํานาจรัฐ เบิรค์ ฮาร์ดท์คุ้นเคยกับประวัตศิ าสตร์
39
Andreas Boldt, "Perception, Depiction and Description of European History: Leopold Von Ranke and His Development and Understanding of Modern Historical Writing," eSharp, no. 10 (2007) (accessed 14/6/2014). Ranke, Leopold von. 1859-68. Englische Geschichte, vornehmlich im 17. Jahrhundert. 9 vols. Berlin: Duncker und Humblot; Ranke, Leopold von. 1835. Zur Geschichte der italiensichen Poesie. Abhandlungen der Königlichen Preußischen Akademie der Wissenschaften zu Berlin. 40185. Berlin: Duncker und Humblot. 40 ครัง้ แรกทีม่ หาวิทยาลัยทือบิงเงินในปี 1867 ครัง้ ที่ 2 เป็ นมหาวิทยาลัยเบอร์ลนิ ในปี 1872 ซึง่ เคยเป็ นตําแหน่ งของรังเก
30
วัฒนธรรมเนื่องจากอยูใ่ นการเรียนระดับมัธยม รวมถึงคุน้ เคยกับนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสอย่ ่ างวอลแตร์, ฟรองซัวส์ กีโซต์ (Francois Guizot) และออกุสแตง เทียรี (Augustin Therry) ขณะศึกษาประวัตศิ าสตร์ ที่เบอร์ลนิ กับรังเก ก็น่าจะเป็ นครัง้ แรกที่ได้ศกึ ษาประวัตศิ าสตร์การเมือง ไม่ทราบว่าเบิรค์ ฮาร์ดท์ไม่ ชอบรัง เกเป็ นการส่ว นตัวหรือไม่ แต่ ทราบว่าเบิร์คฮาร์ด ท์เ คยถากถางภาพชนชัน้ สูง และทัศ นะแบบ ข้าราชการของรังเก และอาจมองว่ารังเกชื่นชอบรัฐบาลเผด็จการของปรัสเซียเกินไป สําหรับเบิรค์ ฮาร์ดท์ แล้วประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีเ่ ป็ นไม้เบื่อไม้เมากับประวัตศิ าสตร์การเมืองจึงดูน่าสนใจไม่น้อย 41 40
A
F
T
ยอร์น รูเซน (Jörn Rüsen) มองว่ากรอบและวิธคี ดิ ทางประวัติศาสตร์ของเบิรค์ ฮาร์ดท์ม ี ลัก ษณะสําคัญที่ทําให้ประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมมีความแตกต่ างจากประวัติศ าสตร์แบบรัง เกคือ การ เชื่อ มโยงอดีต โดยการทํ า ความเข้ า ใจผ่ า นป จั จุ บ ัน รู เ ซนชี้ว่ า กรอบวิธ ีก ารแบบนี้ เ ป็ น การ ทํ า ให้ ประวัตศิ าสตร์มลี กั ษณะเป็ นมานุ ษยวิทยา (“anthropologizing") หาโครงสร้าง ("structuralizing") และ สร้างสุนทรียะ (“aestheticizing”) ให้กบั ประวัตศิ าสตร์ รูเซนชีว้ ่าประวัตศิ าสตร์ของเบิรค์ ฮาร์ดท์เป็ นการ นําเอาทัศนะแบบมานุ ษยวิทยามาใช้ในการศึกษาทางประวัตศิ าสตร์ (anthropological turn) คือการมอง หาสิง่ ที่มรี ่วมกันของจิตใจมนุ ษย์ในฐานะผู้สร้างหรือก่อให้เกิดวัฒนธรรมในช่วงเวลาต่ างๆในอดีตและ ปจั จุบนั เบิรค์ ฮาร์ดท์เห็นว่าการศึกษาทางประวัตศิ าสตร์ควรเริม่ จากสิง่ ทีม่ นุ ษย์เข้าใจและเผชิญร่วมกัน ได้แก่การทีม่ นุ ษย์ต้องต่อสู้และเผชิญกับความทุกข์แต่กต็ ้องดํารงอยู่ต่อไป จึงเป็ นการศึกษาปญั หาและ ความป่วยไข้ของมนุ ษย์ การวิเคราะห์ทางประวัตศิ าสตร์ควรมองอดีตเพื่อทําความเข้าใจความแตกต่าง กับปจั จุบนั นักประวัตศิ าสตร์ควรศึกษา “สิง่ ซึง่ เกิดขึน้ ซํ้าๆ คงทีแ่ ละมีอยู่ทวไป ั ่ ทีส่ ะท้อนมาทีต่ วั เราและ เข้าใจได้ผ่านสํานึกของเรา” 42 41
R
การทีม่ องว่าเป็ นผลจากทีม่ นุ ษย์ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะแวดล้อมและความจริงของโลก ความ เข้าใจประสบการณ์มนุ ษย์คอื สิง่ สําคัญทีส่ ุดของความเป็ นจริงในประวัตศิ าสตร์ ซึง่ ในส่วนนี้เห็นได้ว่าตรง ข้ามกับรังเกทีบ่ อกว่า “ข้าพเจ้าต้องลบตนเองออก และเพรียกหาสรรพสิง่ และพลังแห่งอดีตทัง้ ปวงให้เผย ตนออกมา” 43 และนักประวัตศิ าสตร์ไม่ควรกลัวทีจ่ ะมองอดีตจากมุมมองของปจั จุบนั อย่างไรก็ดแี ฟรงค์
D
42
41
Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 179. Jörn Rüsen, "Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism," History and Theory 24, no. 3 (1985): 241. อ้างอิงจาก Jacob Burckhardt, Reflections on History, trans., Marie Donald Mackie Hottinger (London,: G. Allen & Unwin ltd., 1943), 17. 43 Leopold von Ranke, "A History of England, Principally in the Seventeenth Century," Kindle edition: book 5, location 7612. “It has been my wish hitherto in my narrative to suppress myself as it were, and only to let the events speak and the mighty forces 42
31
แองเกอร์สมิท (F. R. Ankersmit) ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมองการตีความของเบิรค์ ฮาร์ดท์ไปในทาง มานุ ษยวิทยาที่ให้ความสําคัญกับ “ความเข้าใจ” หรือ Verstehen โดยชี้ว่าไม่ได้เน้ นไปที่สภาวะของ ปจั เจก แต่ เ ป็ น การปฏิส มั พันธ์ระหว่ า งสถาบันทางสัง คมเช่ น รัฐและศาสนจัก รกับวัฒนธรรม ซึ่ง ไม่ สามารถลดทอนเป็ นองค์ประกอบแบบมานุ ษยวิทยาได้ 44 43
F
T
ในส่วนทีร่ เู ซนชีว้ ่าประวัตศิ าสตร์ของเบิรค์ ฮาร์ดท์ว่ามีลกั ษณะของโครงสร้าง ("structuralizing") คือการปฏิเสธประวัติศาสตร์เ หตุ ก ารณ์ ท่มี องว่าห่ว งโซ่ ของเหตุ การณ์มคี วามสัมพันธ์แ บบสาเหตุ ก ับ ผลลัพธ์ซง่ึ เป็ นลักษณะสําคัญของประวัตศิ าสตร์สํานักรังเกในศตวรรษที่ 19 โดยเบิรค์ ฮาร์ดท์มองหา แบบแผนและรูปแบบของกิจกรรมและความคิดของมนุ ษย์ โดยศึกษาในความเปลีย่ นแปลงตามกาลเวลา ผ่านการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมในหลายรูปแบบ แบบแผนดังกล่าวเป็ นกรอบทฤษฎีในการตีความทาง ประวัตศิ าสตร์ ส่วนการสร้างสุนทรียะ ("aestheticizing”) ให้กบั ประวัตศิ าสตร์หมายถึงการปฏิเสธหน้าที่ หรือการเป็ นประโยชน์ทางการเมืองของประวัตศิ าสตร์ ซึง่ เป็ นภาระหนึ่งของนักประวัตศิ าสตร์สํานักรังเก โดยเบิร์คฮาร์ดท์เห็นว่าประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมควรเป็ นเรื่องของประสบการณ์ ทางผัสสะของมนุ ษ ย์ มากกว่าการพรรณนาความเป็ นไปของเหตุการณ์ภายนอก 45 อาจกล่าวได้ว่าลักษณะทัง้ 2 ทีก่ ล่าวมานี้ อยูใ่ นกรอบแบบมานุ ษยวิทยาทีพ่ ฒ ั นาต่อมาถึงศตวรรษที่ 20 ทีใ่ ห้ความสนใจต่อความประหลาดโดยมุ่ง ทําความเข้าใจแบบแผนในวิถชี วี ติ ของกลุ่มคนทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะด้านขนบธรรมเนียม พิธกี รรมและความ เชื่อ ในลักษณะของการชื่นชมความบริสุทธิ ์และงดงาม อีกทัง้ ขับเน้ นความแตกต่างจากสังคมตะวันตก สมัยใหม่ แต่สงิ่ ที่เบิรค์ ฮาร์ดท์มองหาในอิตาลียุคเรอเนสซองส์เป็ นลักษณะเฉพาะของมนุ ษย์ ทัง้ ที่คงที่ และเปลีย่ นแปลงผ่านศิลปะแขนงต่างๆ จึงอาจกล่าวได้ว่างงานของเบิรค์ ฮาร์ดท์เป็ นความพยายามเชื่อม รอยแยกระหว่างประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบมนุ ษยนิยมและทัศนะแบบมานุ ษยวิทยาชาติพนั ธ์ท่เี ป็ น ปญั หาสําคัญทางวิธกี ารของ Kulturgeschichte ในเวลาเดียวกัน
R
A
44
D
การทีเ่ บิรค์ ฮาร์ดท์ให้ความสําคัญกับเหตุการณ์ค่อนข้างตํ่า ซึง่ ต่างจากนักประวัตศิ าสตร์การเมือง กระแสหลักตามแนวทางของรังเกอย่างมาก สําหรับรังเกแล้วการดําเนินไปและห่วงโซ่ของเหตุการณ์เป็ น การเน้ น ที่ก ารดํ า รงอยู่ ข องรัฐ และเป็ น มุ ม มองของระดับ รัฐ เบิร์ค ฮาร์ด ท์ ก ลับ ให้ค วามสํ า คัญ กับ ประสบการณ์ของปจั เจก ซึง่ สอดคล้องกับฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Nietzsche) ซึง่ เป็ นศาสตราจารย์ท่ี
be seen…” (“Ich wünschte mein Selbst gleichsam auszulöschen und nur die Dinge reden, die mächtigen Kräfte erscheinen zu lassen”) 44 F. R. Ankersmit, Sublime Historical Experience (Stanford, Calif. ; [Great Britain]: Stanford University Press, 2005), 164-65. 45 Rüsen, "Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism," 241-42.
32
มหาวิทยาลัยเดียวกัน 46 เบิรค์ ฮาร์ดท์อา้ งอิงหลักฐาน วรรณกรรมหรือข้อมูลในลักษณะของเกร็ดเล็กเกร็ด น้อย อีกทัง้ เลือกใช้และอ้างหลักฐานทีค่ ่อนข้างกระจัดกระจายจากหลายส่วนทัง้ จิตรกรรม ประติมากรรม และข้อเขียนจากต่างแหล่ง โดยเฉพาะให้น้ํ าหนักกับข้อเขียนของปจั เจกมากกว่าเอกสารราชการ อีกทัง้ หลักฐานต่างๆก็ไม่ได้เชื่อมโยงกันโดยตรงหรือเชื่อมโยงกับลําดับเวลาและความเป็ นไปของเหตุการณ์ ทําให้เป็ นทีว่ จิ ารณ์อย่างมากจากนักประวัตศิ าสตร์ทเ่ี คร่งครัดกับการใช้และวิพากษ์หลักฐานตามแนวทาง ของกลุ่มของรังเก ทําให้การวิเคราะห์ศลิ ปะและวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆ ของเบิรค์ ฮาร์ดท์ดูเหมือนเกิดขึน้ โดยสหัช ญาณเมื่อ เปรีย บเทีย บกั บ ภาพของนั ก ประวัติ ศ าสตร์ แ บบรัง เกและนั ก ประวัติ ศ าสตร์ Geschichtswissenschaft ในช่วงเวลาเดียวกัน 47
T
45
46
R
A
F
ผ่านศิลปะ ปรัชญาและระบบการเมืองในอิตาลียคุ เรอเนสซองส์ Die Kultur der Renaissance in Italien (1860; the Civilization of the Renaissance in Italy) เบิรค์ ฮาร์ดท์อธิบายถึงลักษณะทาง วัฒ นธรรมในอิต าลียุ ค เรอเนสซองส์ว่ า มีล ัก ษณะป จั เจกนิ ย ม ความนิ ย มการแข่ ง ขัน การคํ า นึ ง ถึง ภาพลัก ษณ์ ข องตนและความเป็ น สมัย ใหม่ ใ นด้า นต่ า งๆ เห็ น ได้ถึง การตีค วามวัฒ นธรรมโดยให้ ความสําคัญกับปจั เจกที่อยู่ในสังคมที่มกี ารแข่งขัน โดยสภาวะสมัยใหม่ดงั กล่าวเป็ นกรอบสําคัญในการ ตีความทําความเข้าใจพลวัตทางวัฒนธรรม ข้อเขียนของเบิรค์ ฮาร์ดท์ยงั อุดมไปด้วยการพรรณนาเชิงอุป ลักษณ์ในการอธิบายถึงมิตทิ างวัฒนธรรม ใน the Civilization of the Renaissance in Italy เบิรค์ ฮาร์ ดท์กล่าวถึงการเปลีย่ นผ่านทางอารมณ์ความรูส้ กึ นึกคิด จินตนาการและสภาวะอารมณ์จากสมัยกลางที่ “อยู่ภายใต้ผา้ บังตาของภาวะแห่งความฝนั และครึง่ หลับครึง่ ตื่น ซึง่ ผ้าบังตานี้เป็ นผลจากความเชื่อ ภาพ ลวงและการถูกครอบงําทางความคิดเดียงสา ทําให้มองโลกและอดีตเห็นเป็ นสิง่ ผิดประหลาด สํานึกถึง ตนเองเป็ นเพียงสมาชิกของเผ่าพันธุ์ ครอบครัว พรรคพวกและองค์กร” ซึง่ อิตาลียุคเรอเนสซองส์น้ี “เป็ น ทีแ่ รกทีผ่ า้ บังตานี้อนั ตรธานหายไป” 48 เบิรค์ ฮาร์ดท์ใช้อุปลักษณ์บ่อยครัง้ เพื่อกล่าวถึงความรูส้ กึ นึกคิด แห่งยุคสมัย
D
47
46
สําหรับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและทางด้านความคิดระหว่างบุคคลทัง้ สอง ดู Erich Heller, The Importance of Nietzsche : Ten Essays (Chicago: University of Chicago Press, 1988), 39-54. 47 ในความเป็ นจริงแล้วประวัติศาสตร์ข องรังเกมีมติ ิข องการอาศัย พลังลี้ลบั อยู่ไม่น้อย รวมถึงการอาศัยสหัส ญาณด้วย ดู พึ่งสุ นทร, ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20, 247-48. 48 Anna Green, Cultural History (Basingstoke: Palgrave Macmillan, 2008), 16. จากบท “the Development of the Individual” Jacob Burckhardt, The Civilization of the Renaissance in Italy (London, England ; New York, N.Y., USA: Penguin Books, 1990), 98.
33
ใน Griechische Kulturgeschichte (2 vols; 1898, 1902; History of Greek Culture) ซึง่ กล่ า วถึง วิถีชีว ิต ชาวกรีก ทัง้ ในทางการเมือ ง ศิล ปะ วรรณกรรม ดนตรีแ ละกีฬ า โดยชี้ใ ห้ เ ห็น ถึง ความสําคัญของวัฒนธรรมการแข่งขันที่ส่ งผลให้เ กิดการพัฒนาทางวัฒนธรรมและความคิด ขณะที่ ประวัตศิ าสตร์สมัยเรอเนสซองส์เน้ นในแง่ของปจั เจก ส่วนงานชิ้นนี้เน้ นถึงความตึงเครียดระหว่างสิง่ ที่ เบิรค์ ฮาร์ดท์เรียกว่า “ปจั เจกนิยมทีเ่ ป็ นหมัน” (“unregenerate individualism”) ซึง่ เป็ นปจั เจกนิยมทีไ่ ม่ ก่อให้เกิดการร่วมมือและไม่ส่งเสริมให้สงั คมก้าวหน้าไป กับความต้องการให้ปจั เจกอยู่ภายใต้อํานาจ ปกครองหรือบัญชาของ polis หรือรัฐทีต่ นเป็ นสมาชิกอยู่ 49 กรอบแนวคิดว่าด้วยการเติบโตของปจั เจก นิยมสอดคล้องกับทฤษฎีทางสังคมในช่วงครึง่ หลังของศตวรรษที่ 19 ทีม่ องความสัมพันธ์ระหว่างปจั เจก กับสังคมทีซ่ บั ซ้อนมากกว่าปรัชญาสังคมในยุคก่อน
T
48
A
F
จากที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ชดั เจนถึงข้อแตกต่ างระหว่างประวัตศิ าสตร์ของเบิร์คฮาร์ดท์กบั Kulturgeschichte ทีเ่ ฟื่องฟูในช่วงครึง่ แรกของศตวรรษที่ 19 แม้ว่าจะเห็นได้ถงึ การอธิบายวัฒนธรรมใน แนวทางมานุ ษยวิทยาเหมือนกัน แต่เบิรค์ ฮาร์ดท์ไม่ได้ต้องการประวัตศิ าสตร์ชนชาติ (Volk) แต่ความ เป็ นมานุ ษยวิทยาอยู่ทส่ี งิ่ ทีม่ นุ ษย์เข้าใจและเผชิญร่วมกันดังทีร่ เู ซนชี้ให้เห็น ต่างจาก Kulturgeschichte ทีเ่ ป็ นมานุ ษยวิทยาในลักษณะของความสนใจวิถชี วี ติ ความเป็ นอยู่และขนบธรรมเนียมในตัวของมันเอง แต่เบิรค์ ฮาร์ดท์สนใจความขัดแย้งทางการเมือง ลักษณะทางสังคมและบริบททางความคิดในฐานะทีเ่ ป็ น เงื่อนไขหรือฉากหลังซึง่ จําเป็ นในการทําความเข้าใจผลสําเร็จทางวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆ 50 นอกจากนี้ เบิรค์ ฮาร์ดท์ยงั ให้พน้ื ทีก่ บั การช่วงชิงการเมืองในระดับบนซึง่ เห็นได้ชดั ในงานทุกชิน้ 49
D
R
งานที่เป็ นจุดเปลี่ยนสําคัญของกรอบวิธกี ารด้านประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมคือ The Age of Constantine the Great (1852) ซึง่ เป็ นยุคแห่งวิกฤตและกระแสความเปลีย่ นแปลงในหลายด้าน จากยุค โรมันโบราณสู่ยุคสมัยกลางและยุคแห่งคริสต์ศาสนา การแบ่งแยกทางภูมศิ าสตร์ เบิรค์ ฮาร์ดท์มอง จักรพรรดิคอนสแตนตินต่างจากนักประวัตศิ าสตร์ร่วมสมัยทีเ่ ป็ นว่าเป็ นผู้มคี ุณธรรมและเคารพในคริสต์ ศาสนา เห็น ว่ าเป็ น จัก รพรรดิท่ีม ีล ัก ษณะผู้นํ า ตามแบบของมาเคีย เวลลี (Machiavelli) หรือ เหมือ น
49
หากมองในแง่มมุ ทางศิลปะ “unregenerate individualism” สอดคล้องกับแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ในช่วงครึง่ หลักศตวรรษที่ 19 ซึง่ มอง ว่าการสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมและศิลปะควรมาจากการแสดงออกซึ่งตัวตนของปจั เจก แนวทางทางศิลปะทีส่ อดคล้องในศตวรรษที่ 19 ยุคนัน้ ได้แก่ art for art’s sake, aestheticism ซึ่งมองว่าศิลปะไม่มเี ป้าหมายอื่นใดนอกเหนือจากตัวของงานศิลปะเอง ส่วนแนวคิด “regenerate individualism” เป็ นวลีทส่ี ะท้อนอุดมคติทางสังคมซึ่งแพร่หลายในศตวรรษที่ 19 ส่วนหนึ่งเป็ นผลมาจากแนวคิดทางสังคม วิทยาช่วงครึง่ หลังศตวรรษที่ 19 Peter Burke, "What Is Cultural History?," (Cambridge: Polity, 2004), Kindle edition. chapter 1, location 209-219. 50 Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 185.
34
ผูป้ กครองสมัยเรอเนสซองส์ อีกทัง้ มองคริสต์ศาสนาว่าเป็ นเพียงอํานาจหนึ่ง ไม่ได้เป็ นแรงผลักดันทาง วิญญาณทีน่ ําโลกตะวันตกเข้าสู่ยุคใหม่ในทางวัฒนธรรม อีกทัง้ ไม่ได้มสี ่วนในการนํ ามาซึง่ การเสื่อมของ จักรวรรดิโรมันอย่างทีก่ บิ บอน (Edward Gibbon) เสนอ แต่เป็ นภาวะชราภาพ ล้าสมัยและเฉื่อยชาของ สังคมโรมัน ศาสนาจักรก็ไม่ได้เป็ นพลังในการฟื้ นฟูทางวัฒนธรรม เพียงแต่ซมึ ซับเอาผลประโยชน์จาก สภาวะอันนี้ ในทางศิล ปะและวัฒนธรรมเกิด การละทิ้ง อุ ด มคติแ บบยุค คลาสสิก หันไปใช้ภาษาและ สัญลักษณ์ทฟ่ี ้ ุงเฟ้อและแห้งแล้งจากยุคเก่าก่อน 51 ส่วนใน the Civilization of the Renaissance in Italy เบิ ร์ ค ฮาร์ ด ท์ ม องว่ า สภาวะหรื อ เงื่อ นไขสํ า คัญ ของความสํ า เร็ จ ทางวั ฒ นธรรมคื อ ป จั เจกนิ ย ม (individualism) โดยงานทัง้ สองชิน้ มองว่าพลวัตทางวัฒนธรรมทีแ่ สดงออกผ่านศิลปะและวรรณกรรมเป็ น ผลมาจากสภาวะวิกฤตบางอย่างทางสังคมและการเมือง ซึง่ นักวิชาการหลายท่านมองว่าประวัตศิ าสตร์ ของเบิรค์ ฮาร์ดท์เป็ นการวิจารณ์สภาวะสมัยใหม่ของยุโรปในช่วงครึง่ หลังศตวรรษที่ 19 เป็ นยุคสมัยที่ ผูเ้ ขียนต้องเผชิญกับความเปลีย่ นแปลงในหลายระดับทัง้ การขยายตัวของระบอบทุนนิยมและการเติบโต ของอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด รวมถึงการรวมเยอรมนีภายใต้เผด็จการทหารนิยม
F
T
50
A
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมปลายศตวรรษที่ 19: Methodenstreit
D
R
นัก ประวัติศ าสตร์ห ลายท่ า นที่ใ ห้ค วามสนใจต่ อ มิติท างวัฒ นธรรมและมีง านที่ย อมรับ ในวง วิชาการอาชีพในศตวรรษที่ 20 อย่างเช่นจูลส์ มิเชเลท์ (Jules Michelet) ในฝรังเศสซึ ่ ่งเป็ นขนบการ เขียนประวัตศิ าสตร์ทใ่ี ห้ความสําคัญกับมิตทิ างสังคมและวัฒนธรรม และในโลกวิชาการประวัตศิ าสตร์ใน เยอรมนีทก่ี ารศึกษาประวัตศิ าสตร์หนั ไปให้ความสําคัญกับเหตุการณ์ทางเมืองและรัฐตามแนวทางทีร่ งั เก วางไว้เฟื่องฟูและมีอทิ ธิพลอย่างมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีนักประวัตศิ าสตร์อย่างเบิรค์ ฮาร์ดท์ท่ี เป็ นหนึ่งในผูร้ เิ ริม่ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ซึง่ มีอทิ ธิพลและได้รบั การยอมรับในโลกวิชาการเยอรมัน ถึง ขนาดเมื่อตําแหน่ งศาสตราจารย์ดา้ นประวัตศิ าสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์ลนิ ทีร่ งั เกเคยครองอยู่ว่างลง ในปี 1872 เบิรค์ ฮาร์ดท์ได้รบั การทาบทามแต่กป็ ฏิเสธ เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 19 การยอมรับซึง่ กัน และกันดังกล่าวระหว่างประวัตศิ าสตร์การเมืองกับประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมดูเหมือนจะจางลง เมื่อคาร์ล แลมเปรคช์ (Karl Lamprecht) แห่งมหาวิทยาลัยไลพ์ซจิ พยายามสถาปนากลุ่มและสถาบันเพื่อศึกษา ประวัติศ าสตร์ว ัฒนธรรม ภายใต้ อิท ธิพ ลทางความคิด ของเบิร์ค ฮาร์ด ท์ไ ด้เ ริ่มวิจารณ์ ว ิธ ีก ารศึก ษา ประวัตศิ าสตร์การเมืองทีส่ นใจแต่ความเป็ นไปของเหตุการณ์ภายนอก แลมเปรคช์เสนอวิธกี ารของตนที่
51
Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 190-91.
35
T
มีค วามสนใจที่ก ว้างกว่ าครอบคลุมสัง คม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและจิตวิทยา ด้ว ยอิทธิพ ลจากสาขา จิตวิทยา แลมเปรคช์เสนอว่านักประวัตศิ าสตร์ควรชีใ้ ห้เห็นถึงความเปลีย่ นแปลงของ Volksseele หรือ “จิตร่วม” (collective psyche) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็ นการสานต่อ Kulturgeschichte โดยเชื่อว่าเป็ นการ จัดระบบและวางกรอบระเบียบวิธ ใี ห้ทนั สมัยมากขึ้น ความพยายามดัง กล่ าวปรากฏใน Deutsche Geschichte (13 vols., 1891-1908) ซึ่งความสนใจแบ่งได้เป็ น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็ นประวัตศิ าสตร์ เศรษฐกิจและสังคมผ่านการศึกษาวัฒนธรรมทางวัตถุ ส่วนที่สองสนใจประเด็นทางความคิดและจิตใจ ตามแนวทางทีเ่ บิรค์ ฮาร์ดท์วางไว้
D
R
A
F
ความขัด แย้ง ในวงวิช าการประวัติศ าสตร์เ ยอรมัน ที่ส่ ง ผลต่ อ ประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมคือ Methodenstreit (methodological dispute) หรือความขัดแย้งว่าด้วยระเบียบวิธ ี ซึง่ แพร่กระจายไปอย่าง กว้างขวางและต่อเนื่อง เริม่ ขึน้ ราวปี 1886 ซึง่ เป็ นปี ทร่ี งั เกและจอร์จ เวท์ซ (Georg Waitz) หนึ่งในศิษย์ เอกและหัวหน้ากองบรรณาธิการของ Monumenta Germaniae historica (MGH) เสียชีวติ ลง เหล่านัก ประวัตศิ าสตร์สายรังเกนําโดยดีทริช เชฟเฟอร์ (Dietrich Schaffer) พยายามสถาปนาเป้าหมายของนัก ประวัติศาสตร์ช้วี ่าอยู่ท่กี ารเมืองและรัฐ ไม่ใช่ชวี ติ คนตัวเล็กตัว น้ อย (Klienleben) หรือข้าวของใน ชีวติ ประจําวัน เป็ นการโจมตี Kulturgeschichte ซึง่ เป็ นทีน่ ิยมในหมู่นักอ่าน ว่าไม่ได้มาตรฐานวิชาการ ไม่ได้วางอยู่กบั ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเป็ นผลงานของมือสมัครเล่น อีเบอร์ฮาร์ด โกไธน์ (Eberhard Gothein) นักประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจและวัฒนธรรมตอบโต้โดยชี้ให้เห็นถึงความสําคัญของ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ชี้ว่ามีระเบียบวิธที ่เี หมาะสมในการเข้าใจมนุ ษย์ตามแนวคิดของวิลเฮล์ม ดิล ไทย์ (Wilhelm Dilthey) โดยเห็นว่าประวัตศิ าสตร์การเมืองมีขอ้ จํากัดในด้านนี้จงึ ควรหันมาเรียนรูจ้ าก ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ในขณะนัน้ ทัง้ สองฝา่ ยต่างก็มฐี านทีม่ นของตน ั่ ฝ่ายนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม มีหนังสือขายดีและฐานผู้อ่านสนใจจํานวนมากรวมถึงมีวารสารของตนเอง ที่มสี มาชิกจากหลากหลาย สายอาชีพ มีเครือข่ายของนักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยา ซึง่ มีจาํ นวนมากกว่านักประวัตศิ าสตร์ อีก ทัง้ มีความพยายามผลักดันประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ซึง่ ก็ถูกต่อต้านจากวิชาการ ประวัติศาสตร์การเมืองที่มที ่ที างทางวิชาการมันคงในมหาวิ ่ ทยาลัยอยู่แล้ว เหตุ ผลของการต่ อต้านมี หลายเหตุ ผ ลตัง้ แต่ ม าตรฐานวิช าการและการค้ น คว้า ไปจนถึง สาเหตุ ท างอุ ด มการณ์ เ นื่ อ งจากให้ ความสําคัญกับวัฒนธรรมทาง “วัตถุ” ทีส่ ะท้อน Materialismusstreit ในช่วงกลางศตวรรษที่ 1952 หาก มองให้ลกึ ลงไปที่ประวัติศาสตร์ก ารเมืองตามแนวทางของรังเก เห็นได้ถึงการต่อต้านดัง กล่าวตัง้ แต่
52
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 305-307.
36
แรกเริม่ สถาปนาประวัตศิ าสตร์ “เชิงประจักษ์” ทีเ่ ริม่ จากการปฏิเสธประวัตศิ าสตร์ทถ่ี ูกชีน้ ํ าโดยปรัชญา โดยเฉพาะแบบเฮเกลและปรัชญาจิตนิยมทีม่ อี ทิ ธิพลในช่วงทศวรรษแรกๆ ของศตวรรษที่ 1953 การต่อสู้ ของประวัตศิ าสตร์การเมืองทัง้ 2 ครัง้ จึงเป็ นการต่อสูเ้ พื่อรักษาทีท่ างของตนเองครัง้ แรกต่อสูก้ บั กระแส ปรัชญาประวัตศิ าสตร์มรดกจากศตวรรษที่ 18 ครัง้ ทีส่ องต่อสูก้ บั กระแสการบูรณาการของศาสตร์ต่างๆ เช่นจิตวิทยา เศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา
R
A
F
T
การท้าทายเข้มข้นขึน้ เมื่อแลมเปรคช์เข้ามาในภาพและมีฐานที่มนในมหาวิ ั่ ทยาลัยไลพ์ซจิ และ Deutsche Geschichte ทัง้ 13 เล่มทยอยตีพมิ พ์ เริม่ มีการยกย่องแลมเปรคช์ให้เป็ นทางเลือกแทนรังเก ทําให้ Deutsche Geschichte ถูกวิจารณ์และโจมตีรอบด้านโดยเฉพาะนักประวัตศิ าสตร์การเมือง รวมถึง นักวิชาการรุ่นใหญ่อย่างฟรีดชิ ไมเนกเคอ (Friedrich Meinecke), จอร์จ ฟอน บีโลว์ (Georg von ั่ Below) และนักประวัตศิ าสตร์จากฝงเบอร์ ลนิ รวมไปถึงแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ด้วย โดยคํา วิจ ารณ์ ส่ ว นหนึ่ ง โจมตีเ รื่อ งมาตรฐานวิชาการ กรอบวิธ ีท่ีขาดระบบ ขาดความเคร่ ง ครัดและความ ผิดพลาดด้านข้อมูลหลักฐาน อีกส่วนหนึ่งเป็ นการโจมตีทอ่ี ุดมการณ์ว่าเป็ นวัตถุภาวะนิยมและโน้มเอียง ไปทางสังคมนิ ยม ฝ่ายแลมเปรคช์ยนื ยันการศึก ษาประวัติศาสตร์ว ฒ ั นธรรมในชัน้ เรียนสัมมนาที่ มหาวิทยาลัยไลพ์ซจิ และก่อตัง้ สถาบันประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม (Institute for Cultural and Universal History) ขึน้ ในปี 190954 อีกทัง้ เสนอแนวทางการศึกษาทีเ่ กีย่ วพันกับจุดยืนทางการเมืองต่อต้านสงคราม ซึง่ ไม่ค่อยเป็ นทีย่ อมรับในขณะนัน้ ทําให้แลมเปรคช์ถูกโดดเดีย่ วมากขึน้ เรื่อยๆ เมื่อสงครามโลกครัง้ ที่ หนึ่งปะทุขน้ึ วาทกรรมการปะทะกันระหว่าง Kultur ทีเ่ ป็ นเยอรมันกับ Zivilisation ทีม่ คี วามเป็ นอังกฤษ และฝรังเศส ่ ซึง่ เป็ นวาทกรรมว่าด้วยความขัดแย้งกันของความเป็ นสมัยใหม่ทม่ี มี าตัง้ แต่ปลายศตวรรษที่ 19 เข้มข้นขึน้ มาก 55 54
D
การโต้เถียงเป็ นไปอย่างต่อเนื่องไปจนถึงหลังจากแลมเปรคช์เสียชีวติ ลง ชื่อเสียงและอิทธิพล ของเขาแพร่หลายมากขึน้ ในวงกว้างนอกวงวิชาการประวัตศิ าสตร์ มีอทิ ธิพลในโลกวิชาการฝรังเศสและ ่ อเมริก า ส่ ว นในเยอรมนี เ หตุ ก ารณ์ น้ี ส่ ง ผลให้ แ ลมเปรคช์ แ ละกลุ่ ม ขาดที่ย ืน ในวงวิช าการด้ า น
53
ดู พึง่ สุนทร, ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20, 244. แลมเปรคช์ดํารงตําแหน่ งผู้อํานวยการมีอํานาจว่าจ้างอาจารย์ตามที่ต้องการ จนละเลยธรรมเนียมของภาควิชา เช่นตัง้ ผู้ท่ไี ม่มวี ุฒ ิ ปริญ ญาเอกรวมถึงตัง้ ครูส อน Gymnasium ท้อ งถิ่น เข้ามาเป็ น อาจารย์ร วมถึงญาติต ัว เอง ยิ่งเพิ่ม กระแสต่ อ ต้า นยิ่งขึ้น อีก ดู Roger Chickering, Karl Lamprecht : A German Academic Life (1856-1915) (New Jersey: Humanities Press, 1993), 355-356. 55 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 309. 54
37
ประวัตศิ าสตร์ อีกทัง้ ทําให้ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมไม่มที ท่ี างในมหาวิทยาลัยต่อมาอีกยาวนาน ปล่อยให้ ประวัตศิ าสตร์การเมืองมีสถานะเป็ นวิชาการกระแสหลักในมหาวิทยาลัย
R
A
F
T
เมื่อสงครามโลกสิน้ สุดลงนักประวัตศิ าสตร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยงั คงทํางานค้นคว้าอยู่บนฐานทีม่ นั ่ ทางวิธกี ารและสถาบันของประวัตศิ าสตร์การเมือง จํานวนวารสารวิชาการประวัตศิ าสตร์การเมืองเกิดขึน้ จํ า นวนมาก การค้ น คว้ า และการเรีย นการสอนในมหาวิท ยาลัย ในยุ โ รปและอเมริก าถู ก นํ า โดย ประวัตศิ าสตร์การเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย มีการก่อตัง้ สมาคมวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ พร้อมทัง้ การ ก่อตัง้ หอจดหมายเหตุประจําชาติทม่ี คี รบทุกชาติยุโรปตะวันตกตัง้ แต่ปลายศตวรรษที่ 19 ที่กล่าวมานี้ เอื้ออํานวยต่อการเติบโตของประวัตศิ าสตร์การเมืองอย่างมาก นอกจากนี้การก่อตัวของสังคมศาสตร์ สาขาต่างๆก็ล้วนมีท่ที างมันคงในฐานะองค์ ่ ความรู้ วิธกี ารและที่ทางในมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยรวมแต่ละ สาขาแล้วมีทท่ี างแยกจากกัน หลักการของความเป็ น “ศาสตร์” หรือ “วิทยาศาสตร์” ของประวัตศิ าสตร์ วางอยู่บนการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ขณะทีส่ งั คมศาสตร์สาขาอื่นๆวางอยู่บนการค้นหากรอบทฤษฎี หรือกฎหรือระบบเพื่อคําอธิบายมนุ ษย์และสังคมใหม่ ได้มกี ารค้นพบทฤษฏีใหม่ในการอธิบายมนุ ษย์ ในทางจิตใจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางและแพร่หลายออกสู่วงกว้าง ทฤษฎีทางสังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์และจิตวิทยาได้รบั การต่ อยอดทางความคิดจากวงวิชาการสาขาต่างๆ รวมถึงทฤษฎีจติ วิเ คราะห์ท่ีอ ยู่ใ นขัน้ ก่ อ ร่ างสร้า งตัว ในเชิง สถาบันและปลุ ก ให้เ กิด กระแสถกเถีย งในวงกว้า ง ส่ ว น ประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งเป็ นกระแสหลักซึ่งมีทที างทางวิชาการอยู่แล้ว เหมือนจะได้รบั ผลสะเทือน ค่อนข้างน้ อยเนื่องจากหลักความเป็ นวิชาการของประวัตศิ าสตร์วางอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ อีกทัง้ สาขาวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมีทท่ี างของศาสตร์แยกจากกันและมีปฏิสมั พันธ์กนั ค่อนข้างน้อย อีกทัง้ มี ค่านิยมในวงวิชาการถึงการเป็ นสาขาวิชาหรือศาสตร์ทบ่ี ริสุทธิ ์
D
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบ “ใหม่” ในช่วงนี้จงึ พัฒนาขึน้ อย่างช้าๆ แต่เห็นได้ถงึ ลักษณะสําคัญ อันหนึ่ง กล่าวคืออิทธิพลทางความคิดของการค้นพบทางด้านสังคมศาสตร์ต่างๆ นักประวัตศิ าสตร์ท่มี ี อิทธิพลต่ อการศึกษาประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม “แบบใหม่” มาจากอเมริกา เนื่องจากอิทธิพลของแลม เปรคช์ทเ่ี ดินสายบรรยายเผยแพร่แนวคิดในสหรัฐฯ ในปี 1904 ทําให้ประวัตศิ าสตร์ทางเลือกนี้มรี ากลึก ั ่ ด เวสต์ แ ละ กว่ า โดยได้ ร ับ การตอบรับ อย่ า งดีจ ากนั ก ประวัติศ าสตร์รุ่ น ใหม่ ใ นมหาวิท ยาลัย ฝ งมิ มหาวิทยาลัยเกิดใหม่ ทําให้หนั มาศึกษาปจั จัยทางสังคมและวัฒนธรรม ส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็ นทางออกจาก กรอบจารีตประวัตศิ าสตร์นิพนธ์วชิ าการแบบยุโรป อีกส่วนหนึ่งเป็ นการกบฏต่อประวัตศิ าสตร์ความเป็ น ั ่ นออก มีนักประวัตศิ าสตร์อย่างชาร์ลส์ โฮเมอร์ ฮาสกินส์ (Charles อนุ รกั ษ์นิยมจากมหาวิทยาลัยฝงตะวั Homer Haskins) นักประวัตศิ าสตร์สมัยกลางชาวอเมริกนั คนแรกและเป็ นผู้เสนอ “เรอเนสซองส์ใน ศตวรรษที่ 12” (“Renaissance of the 12th century”) มีเฟรเดอริค แจ็คสัน เทอร์เนอร์ (Frederick 38
T
Jackson Turner) นักประวัตศิ าสตร์อเมริกามิดเวสต์ทม่ี องว่าการปจั จัยทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ั ้ นตก เป็ นส่วนสําคัญในการสร้างตัวตนและลักษณะ และสภาวะแวดล้อมจากการขยายตัวไปทางฝงตะวั ของชาวอเมริก ั น อี ก ทัง้ ส่ ง ผลต่ อ ความเป็ น การเมือ งแบบประชาธิป ไตยและความเป็ น ไปทาง ประวัตศิ าสตร์ของอเมริกา เจมส์ ฮาร์ว ี โรบินสัน (James Harvey Robinson) 56 เสนอความจําเป็ นของ การศึก ษาประวัติศาสตร์แบบใหม่ท่สี นใจรอบด้านไม่จํากัดเพียงแต่ การเมืองและรัฐ โดยชี้ให้เ ห็นถึง ความสําคัญของการยอมรับอิทธิพลของการค้นคว้าบนศาสตร์อ่ นื ๆ ที่ช่วยให้นักประวัติศาสตร์เข้าใจ ประเด็นเรื่อง “ชาติพ นั ธุ์” “ศาสนา” “ความก้าวหน้ า” “ยุค โบราณ” “วัฒนธรรม” และ “ธรรมชาติของ มนุ ษย์” ในอดีตได้ดยี ง่ิ ขึน้ 57 56
D
R
A
F
่ นักประวัตศิ าสตร์มธี รรมเนียมทางความคิดที่เปิ ดรับประเด็นว่าด้วยวัฒนธรรม ส่วนในฝรังเศส อย่างต่อเนื่องตัง้ แต่ยคุ แสงสว่าง อีกทัง้ มหาวิทยาลัยในช่วงส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 19 ก็อยู่ภายใต้ความ ผันผวนทางการเมือง นักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสศตวรรษที ่ ่ 19 มีความพยายามในการเขียนประวัตศิ าสตร์ แบบใหม่เพื่อเป็ นการต่อกรกับประวัตศิ าสตร์ของ Ancien Regime ทีใ่ ห้ความสําคัญกับกษัตริยแ์ ละราช สํานัก ประวัตศิ าสตร์ทว่ี ่าด้วยการเมืองโดยตรงเป็ นเนื้อหาทีส่ ุ่มเสีย่ งต่อการถูกเซ็นเซอร์มาอย่างต่อเนื่อง หลังการปฏิวตั ฝิ รังเศส ่ นักประวัตศิ าสตร์คนสําคัญๆ ก็ผลิตงานอยู่นอกสถาบันอุดมศึกษา ทําให้ไม่ได้ม ี การพัฒ นาอยู่ ใ นกรอบด้ า นวิช าการประวัติ ศ าสตร์ท่ี เ คร่ ง ครัด แบบในเยอรมนี ความสนใจทาง ประวัตศิ าสตร์ต่อปจั จัยทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมจึงมีมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ฟรองซัวส์ กีโซต์ (Francois Guizot) ออกุสแตง เทียรี (Augustin Therry) และฌูลส์ มิเชเลท์ (Jules Michelet) แม้นัก ประวัติศ าสตร์ค นสําคัญ อย่างมิเ ชเลท์จะได้รบั อิท ธิพ ลจากปรัช ญาประวัติศ าสตร์จากแฮร์เ ดอร์ แต่ Kulturgeschichte กลับมีอทิ ธิพลต่อนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสค่ ่ อนข้างน้ อย ส่วนหนึ่งมาจากบริบททาง วิชาการและสภาวการณ์ทางการเมืองทีแ่ ตกต่างกัน อีกทัง้ ฝรังเศสมี ่ ขนบประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ทส่ี นใจมิติ ทางสังคมและวัฒนธรรมสืบต่อมาจากนักประวัตศิ าสตร์ฟีโลโซฟในศตวรรษที่ 18 อีกทัง้ ในช่วงปลาย ศตวรรษกระแสต่อต้านแนวคิดและแนวทางทุกอย่างทีเ่ ป็ นเยอรมันก็ค่อนข้างรุนแรงในฝรังเศสเนื ่ ่ องจาก การสงครามและความตึงเครียดทางการเมือง
56
ผูร้ ่วมก่อตัง้ the New School for Social Research ซึ่งตัง้ ขึน้ ในช่วงเวลาทีก่ ระแสชาตินิยมในโลกตะวันตกรุนแรงโดยเสนอตัวเป็ น วิชาการก้าวหน้า 57 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 315.
39
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในขนบฝรังเศสตั ่ ง้ แต่ศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมา มีลกั ษณะสําคัญอันหนึ่ง คือจะไม่ใช้คําว่า culture ในภาษาฝรังเศส ่ โดยนิยมใช้คําอื่นเช่น civilisation, mentalité collective และ imaginaire social จนกระทัง้ ช่ วงปลายทศวรรษที่ 1980 ถึงจะเริม่ ปรากฏวลี L'histoire culturelle แพร่หลายมากขึน้ ส่วนหนึ่งเป็ นอิทธิพลจากวิชาการประวัตศิ าสตร์ในอังกฤษและอเมริกา อีกส่วนหนึ่งมา จากนักประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์รุ่นหลังเช่น โรเจอร์ ชาติเยร์ (Roger Chartier) ทีห่ าทางออกจาก ประวัตศิ าสตร์เชิงปริมาณและประวัตศิ าสตร์สงั คม 58 ก่อนการขึน้ มาของสํานักอานาลส์ นักประวัตศิ าสตร์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อองรี เบอร์ (Henri Berr) ได้เริม่ เสนอการศึกษาวิเคราะห์ทางประวัตศิ าสตร์ท่ี ผสานเอาสังคมศาสตร์สาขาต่างๆ เอาไว้ด้วยซึ่งเบอร์เรียกว่า "synthesis” โดยในปี 1900 ได้รเิ ริม่ วารสาร Revue de synthèse historique ซึง่ เปิ ดพืน้ ทีใ่ ห้กบั วิชาการประวัตศิ าสตร์ทม่ี ลี กั ษณะดังกล่าว รวมถึงเป็ นพืน้ ทีถ่ กเถียงประเด็นทางประวัตศิ าสตร์นิพนธ์และปรัชญาประวัตศิ าสตร์ รวมไปถึงนิยามและ วิธกี ารด้านประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมและความสัมพันธ์กบั สังคมศาสตร์สาขาต่างๆ ด้วย 59 โดยผลงานของ เบอร์ต่อวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ค่อนข้างจํากัดอยู่ในด้านข้อถกเถียงเชิงทฤษฎีมากกว่า งานของเบอร์ ไม่ได้รบั การยอมรับในวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ช่วงนัน้ นัก แต่ความพยายามดังกล่าวส่งผลราว 30 ปีต่อมาเมือ่ เกิดประวัตศิ าสตร์สาํ นักอานาลส์ จนกระทัง้ รุ่นต่อมาอย่างมาร์ค โบลคและลุเซียง เฟบวร์ ทีม่ ี ผลงานทีเ่ ป็ นรูปธรรมในการค้นคว้าทางประวัตศิ าสตร์
T
57
A
F
58
โยฮัน ฮุยซิ งกากับประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมใหม่
D
R
นักประวัตศิ าสตร์คนสําคัญที่มอี ทิ ธิพลต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในศตวรรษที่ 20 คือโยฮัน ฮุยซิงกา (Johan Huizinga, 1872 -1945) ความสนใจของฮุยซิงกาเริม่ จากวรรณกรรมและ ศิล ปะเหมือ นกับ เบิร์ค ฮาร์ด ท์ โดยได้ขยายไปสู่ก ารทํ าความเข้า ใจพฤติก รรม ความคิด ทัศ นะและ ความรู้ส ึก สิ่ง ที่โ ดดเด่ นในงานของฮุ ยซิง กาคือ การใช้ประโยชน์ จ ากกรอบทฤษฏีส มัย ใหม่แ ละการ วิพากษ์เ ชิง วัฒนธรรม โยฮัน ฮุยซิงกามีพ้นื เพจากการศึกษาด้านภาษาโดยเฉพาะสันสกฤตและยุค อินเดียโบราณ ต่อมาสนใจยุโรปยุคกลางและเรอเนสซองส์ พืน้ ฐานทางด้านภาษาและวรรณกรรม หนึ่ง ในอิท ธิพ ลสํ า คัญ ต่ อ ฮุ ย ซิง กาคือ แลมเปรคช์ 60และเบิร์ค ฮาร์ด ท์ ทัง้ ยัง รับ เอาแนวคิด ว่ า ความรู้ท าง 5 9
58
ในปี 1999 มีการก่อตัง้ l' Association pour le développement de l'histoire culturelle (ADHC; The Association for the Development of Cultural History) 59 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 318. 60 ฮุยซิงกาได้เขียนบทความปริทรรศน์ประวัตศิ าสตร์เยอรมัน 6 เล่มของแลมเปรคช์
40
มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์จากไฮน์ รชิ ริกเคิรต์ (Heinrich Rickert) ที่เห็นว่าความรู้เกี่ยวกับ วัฒนธรรมและสังคมมีรูปแบบที่แตกต่ างจากความรู้แบบวิทยาศาสตร์ 61 อีกทัง้ ยังสอดคล้องกับเบิร์ค ฮาร์ดท์ตรงทีเ่ ปิ ดให้มุมมองจากนักประวัตศิ าสตร์เข้ามามีบทบาทในการตีความ 62 ขณะที่การศึกษา วัฒนธรรมในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีทศิ ทางไปตามการศึกษาประวัตศิ าสตร์ “อารยธรรม” กล่าวคืออธิบายวิวฒ ั นาการและมุ่งค้นหากลไกที่ซ่อนอยู่ในภาพใหญ่ของอารยธรรมตาม แบบของคาร์ล แลมเปรคช์และเจมส์ ฮาร์ว ี โรบินสัน ซึง่ นักประวัตศิ าสตร์รนุ่ ต่อมาอย่างออสวอลด์ สเปงก์ เลอร์ (Oswald Spengler) และอาร์โนลด์ เจ. ทอย์นบี (Arnold J. Toynbee) ฮุยซิงกาวิจารณ์การศึกษา ลักษณะดังกล่าว ชีว้ ่าเป้าหมายของการศึกษาวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์ไม่ใช่การสถาปนากฎสากลของ การเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรมหรือการค้นหาลักษณะเฉพาะของชนชาติ ฮุยซิงกาชีว้ ่าการศึกษาทาง ประวัติศาสตร์อยู่ท่กี ารทําความเข้าใจความรู้สกึ นึกคิด ค่านิยมและรูปแบบทางวัฒนธรรมของยุคสมัย โดยฮุยซิงการับว่าได้รบั อิทธิพลจากทฤษฎีของนักสังคมวิทยาหลายท่านอาทิเช่น เอิรน์ ส์ต์ โทรเอลต์ช์ (Ernst Troeltsch), มาร์เซล โมส (Marcel Mauss), เอิรน์ ส์ต์ เบอร์เกส (Ernest W. Burgess), โบรนิ สลอว์ มาลินอฟสกี้ (Bronislaw Malinowski), คาร์ล มันน์ไฮม์ (Karl Mannheim), แม็กซิ เวเบอร์ (Max Weber) และจอร์จส์ ซอเรล (Georges Sorel) 63 โดยเฉพาะในแง่มุมทางด้านจิตวิทยาสังคม ทําให้งาน ของฮุยซิงกามีความแตกต่างจากประวัตศิ าสตร์อารยธรรมในช่วงเวลานัน้ อย่างเห็นได้ชดั ทัง้ ในแง่ของ ขอบเขตทีเ่ ล็กและกรอบทฤษฎีในการทําความเข้าใจวัฒนธรรม 6 0
F
T
61
A
62
D
R
ใน The Waning of the Middle Ages (1919) ฮุยซิงกาชีใ้ ห้เห็นถึงความเป็ นพิธกี ารและความ ละเมียดละไมในทางวัฒนธรรมทีม่ มี ากขึน้ ในราชสํานักช่วงปลายสมัยกลาง ฮุยซิงกาวิจารณ์การตีความ ยุค เรอเนสซองส์ข องเบิร์ค ฮาร์ด ท์ ซึ่ง แยกขาดยุค นี้ อ อกจากปลายยุค กลางอย่ างมาก ยุค นี้ จ ึง ไม่ใ ช่ ความสําเร็จทางวัฒนธรรมตามทีเ่ บิรค์ ฮาร์ดท์เสนอ หากแต่วรรณกรรมและศิลปะในยุคนัน้ เป็ นผลมาจาก กลไกป้องกันตนเองในทางความคิดและทางวัฒนธรรม จากสภาวการณ์ของสังคมภายนอกทีร่ ุนแรงและ
61
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 323. เป็ นทีน่ ่ าสังเกตว่าข้อถกเถียงหลายชุดในวงวิชาการ ปรัชญาของกลุ่ม Neo-Kantian ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เกีย่ วข้องกับประเด็นเรื่องรูปแบบของความรูว้ ่าด้วย วัฒนธรรม ซึ่งเป็ นช่วงเวลาเดียวกับความขัดแย้งในแวดวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์หรือ Methodenstreit โดยหลายประเด็นจะไปในทิศ เดียวกับกลุ่มของแลมเปรคซ์ แต่ เนื่องด้วยเส้นแบ่งระหว่างสาขาวิชาขาดจากกันมากจึงไม่ได้ส่งผลกันในเวลานัน้ แต่ เป็ นประเด็นที่นัก ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมนอกเยอรมันให้ความสนใจกับประเด็นทางด้านปรัชญาว่าด้วยความรูท้ างประวัตศิ าสตร์ ซึ่งต่อมาข้อถกเถียงจาก กลุ่ม Neo-Kantian มีความสําคัญต่อปรัชญาและทฤษฎีประวัตศิ าสตร์มาก 62 ยอห์น รูเซนกล่าวถึงลักษณะอันนี้ของเบิร์คฮาร์ดท์ไว้ Rüsen, "Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism," 241. 63 R. L. Colie, "Johan Huizinga and the Task of Cultural History," The American Historical Review 69, no. 3 (1964): 608.
41
A
F
T
ทารุณมากขึน้ เรื่อยๆ จากทัง้ สงครามและความยากแค้น มองว่าเป็ นภาวะอ่อนล้าทางวัฒนธรรม โหยหา อดีตและสิ้นหวังต่อโลกภายนอก ผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เกิดขึน้ ในยุคนี้จงึ เป็ นผลจากการหนีโลกแห่ง ความจริงและสร้างเกราะกํ าบังทางจิตใจ ฮุยซิงกาชี้ใ ห้เห็นถึงลักษณะทางความคิด และทัศนคติใ น ช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็ นลัก ษณะที่มรี ่วมกันของยุค กลางตอนปลายและยุคเรอเนสซองส์ โดยเฉพาะ ค่านิยมและความรูส้ กึ ของชนชัน้ สูงในแง่ของพิธกี รรม ความเชื่อ บรรยากาศทางวัฒนธรรมทีเ่ กี่ยวเนื่อง กับราชสํานักเบอร์กนั ดีช่วงก่อนปฏิรูปศาสนา โดยลดทอนความสําคัญของเหตุการณ์ทางการเมืองและ สงครามเช่นเดียวกับเบิรค์ ฮาร์ดท์ อีกทัง้ ยังชีว้ ่าเบอร์กนั ดีไม่เคยมีสถานภาพไปถึงระดับเป็ นรัฐ รวมทัง้ ชีใ้ ห้เห็นถึงข้อจํากัดที่นักประวัตศิ าสตร์อธิบายว่าการเมืองและเศรษฐกิจเป็ นสาเหตุหลัก การทีฮ่ ุยซิงกา เห็นว่าสาเหตุหลักมาจากภายในของมนุ ษย์โดยพยายามชีใ้ ห้เห็นภาพของระบบความรูส้ กึ นึกคิดภายใน ของคนยุคนัน้ ในลักษณะของภาพแทนเปรียบเทียบให้เห็นความขัดแย้งหรือ chiaroscuro เช่น สิ่ง ศักดิ ์สิทธิ ์กับสิง่ ทางโลก ความโหดร้ายกับศรัทธา กามารมณ์กบั ความรักในอุดมคติ ศักดิ ์ศรีกบั การถ่อม ตน การข่มใจกับความโลภ อัศวินกับนักบวช ชีวติ กับความตาย ต่างจากนักประวัตศิ าสตร์ทศ่ี กึ ษายุคต้น สมัยใหม่และเรอเนสซองส์ในช่วงศตวรรษที่ 19 มักจะเน้นให้เห็นถึงค่านิยมด้านเสรีภาพและปจั เจกนิยม ของชนชัน้ กลาง ฮุยซิงกากลับขับเน้นประเด็นเรื่องความลําเค็ญและความทารุณในชีวติ ทีค่ ู่ขนานมากับ ผลผลิตทางวัฒนธรรม ฮุยซิงกาให้ความสําคัญกับลําดับและการดําเนินไปของเหตุการณ์ค่อนข้างน้ อย โดยมักอภิปรายแบบแผนและรูปแบบทางวัฒนธรรม รวมถึงอารมณ์ความรูส้ กึ ทัง้ ในแง่ความปรารถนา และความวิตกกังวลของมนุ ษย์ในยุคนัน้ 64 ในบทแรกทีช่ ่อื “The Violent Tenor of Life” ฮุยซิงกาใช้ภาพ การผสมกันของกลิน่ เลือดและกลิน่ กุหลาบเพื่อกล่าวถึงประสบการณ์และความรูส้ กึ ของผูค้ นในยุคนัน้ ทีม่ ี ความผันผวนสูง ระหว่ างความยิน ดีก ับความหวาดกลัว ซึ่ง เป็ นผลจากคุ ณ ค่ า คู่ข นานระหว่า งความ เคร่งครัดทางศาสนาและความหมกมุ่นในการหาความสุขทางโลก ระหว่างความเกลียดชังทีร่ ุนแรงและ คุณธรรม 65
R
63
64
D
ในงานหลายๆชิน้ ประเด็นทีฮ่ ุยซิงกาสนใจทีม่ รี ่วมกันคือ ทัศนคติของชนชัน้ สูงในอดีตทัง้ ในด้าน อุดมคติและความรูส้ กึ นึกคิดในยุคต้นสมัยใหม่ทงั ้ ในระบบอัศวินและราชสํานัก โดยคําทีฮ่ ุยซิงกานํ ามาใช้
64
Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 324. Johan Huizinga and Frederik Hopman, The Waning of the Middle Ages : A Study of the Forms of Life, Thought, and Art in France and the Netherlands in the Fourteenth and Fifteenth Centuries (Harmondsworth: Penguin, 1976), 25. So violent and motley was life, that it bore the mixed smell of blood and of roses. The men of that time always oscillate between the fear of hell and the most naive joy, between cruelty and tenderness, between harsh asceticism and insane attachments to the delights of this world, between hatred and goodness, always running to extremes. 65
42
T
ในการอภิปรายถึงแบบแผนและลักษณะทางวัฒนธรรม นอกจากจะใช้คําที่มใี นภาษาอื่นเช่น “culture”, “civilization” และ “civility” ยังใช้คําภาษาดัตช์ beschaving ซึง่ มีนัยของสิง่ ภายในและความรูส้ กึ ของ มนุ ษ ย์ร วมถึง มีนั ย ของความเป็ น ชนชัน้ สู ง สุ น ทรีย ภาพและความละเมีย ดละไมมากกว่ า คํ า ที่ม ีใ น ภาษาอังกฤษ ฮุยซิงกายังเน้นมิตทิ างวัฒนธรรมทีม่ ชี วี ติ เป็ นเอกเทศจากเศรษฐกิจและการเมือง โดยให้ ความสําคัญกับความรูส้ กึ และจินตนาการ เป็ นการทําความเข้าใจความหมายต่อตัวมนุ ษย์เองและการ เข้าใจทัศนะและมุมมองจากผูค้ นในยุคสมัยนัน้ ๆ ในชีวติ ประจําวัน ทัง้ ในแง่จติ สํานึกร่วมของสังคม ความ กังวล เพศสภาพ สัญญะ รูปแบบทางภาษา พิธกี รรม ความเชื่อ อารมณ์ การรับรู้เรื่องเวลาและความ บันเทิงเริงใจ ซึง่ รวมไปถึงความคิดในภาวะมีสติและความรูส้ กึ นึกคิดในภาวะไร้สติหรือไร้เหตุผล
R
A
F
ในบทความปี 1929 ฮุยซิงกาชีว้ ่าจุดมุง่ หมายหลักของนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมคือการอธิบาย ถึงลักษณะเฉพาะทางความคิดและการแสดงออกทางความรูส้ กึ ของยุคผ่านศิลปะและวรรณกรรม ชีอ้ กี ว่า นั ก ประวัติ ศ าสตร์ ค วรทํ า ความเข้ า ใจแบบแผนทางวัฒ นธรรมโดยศึ ก ษาสิ่ง ที่เ รีย กว่ า “themes”, “symbols”, “sentiments” และ “forms” 66 ซึง่ คําทีฮ่ ุยซิงกาใช้บ่อยคือ “รูปแบบ” (“form”) เพื่ออธิบายแบบ แผนทางวัฒนธรรม ฮุยซิงกาใช้คํานี้เพื่ออธิบายถึงรูปแบบทางภูมปิ ญั ญาทีค่ รอบคลุมวรรณกรรม ดนตรี และปรัชญาแล้ว ยังรวมไปถึงประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ในฐานะของรูปแบบหนึ่งของความรูว้ ่าด้วยอดีต ซึง่ คํา ว่า “รูปแบบ” นี้มนี ัยสําคัญทางสุนทรียภาพและจินตนาการ ในสายตาของฮุยซิงกาแล้วประวัตศิ าสตร์ ไม่ใช่การค้นหาแบบแผนความเป็ นไป (speculative) แต่ เป็ นการทําความเข้าใจจินตนาการและความ ปรารถนาของมนุ ษย์ผ่าน “รูปแบบ” เหล่านี้ให้เห็น “ภาพ” (“image”) หรือ “การเสนอเรื่องราว” (“storytelling”) 67 การนํ าเสนอความรูส้ กึ นึกคิดในอดีตนี้จะต้องผ่านมุมมองของนักประวัตศิ าสตร์เองผ่านมิติ ทางการประพันธ์กล่าวคือการวางเค้าโครง ผูกเรือ่ งและตอนอวสาน โดย “form” ทางประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ นี้มสี ว่ นสําคัญในการสร้างความเข้าใจของวัฒนธรรมในอดีต ผ่านอารมณ์ความรูส้ กึ ทีส่ ่งผ่านรูปแบบของ ข้อเขียนทางประวัตศิ าสตร์ ดังทีฮ่ ุยซิงกาเปรียบช่วงเวลาต่างๆในประวัตศิ าสตร์อเมริกาเหมือนภาพละคร ฉากต่างๆ ในการเสนอมิตขิ องความเป็ นมนุ ษย์ 68 โดนัล เคลลีย์ (Donald Kelley) มองเห็นถึงลักษณะที่ กล่ าวมา กล่าวว่าเป็ นประวัติศ าสตร์ท่มี าก่ อ นประวัติศ าสตร์วฒ ั นธรรมปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่ง ให้ ความสําคัญกับ “ภาพแทน” (“representation”)69 แฟรงค์ แองเกอร์สมิทชีใ้ ห้เห็นเช่นกันว่าประวัตศิ าสตร์
D
67
66
Johan Huizinga, Men and Ideas : History of the Midle Ages, the Renaissance (Eyre & Spottiswoode, 1960), 77-96. J. Huizinga, "History Changing Form," Journal of the History of Ideas 4, no. 2 (1943): 217-218. 68 Huizinga, "History Changing Form," 221. 69 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 326. 67
43
วัฒนธรรมของฮุยซิงกาเข้าใกล้ทศั นะแบบโพสโมเดิรน์ ในแง่ทใ่ี ห้ความสําคัญกับบทบาทของปจั จุบนั ในแง่ ของ “ความรูส้ กึ สัมผัสทางประวัตศิ าสตร์” (“historical sensation”) จากมุมมองของปจั จุบนั ซึง่ อาศัยมิติ ทางด้านอารมณ์ความรู้สกึ และสุนทรียภาพในการทําความเข้าใจประสบการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ เป็ น 70 การอาศัยประสบการณ์ดงั กล่าวทําลายกําแพงกัน้ ขวางอดีตกับปจั จุบนั ลงชัวคราว ่ 69
D
R
A
F
T
ั นธรรมและแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมชัดเจนมากยิง่ ขึ้น จาก แนวคิดว่าด้วยประวัติศาสตร์วฒ อิทธิพลของงานทางด้านสังคมวิทยาในยุคนัน้ ใน Homo Luden (1938) ความสนใจกรอบความคิดทาง จิตวิทยาสังคมและมีลกั ษณะของขอบเขตในลักษณะเป็ นมานุ ษยวิทยา อีกทัง้ ยังมองข้ามผ่านช่วงเวลา ทางประวัตศิ าสตร์และอาณาบริเวณอย่างมาก โดยศึกษาวัฒนธรรม “การเล่น” ทัง้ การแสดง กีฬาและการ สร้างความบันเทิง ที่มลี กั ษณะร่วมกันในหลายวัฒนธรรม เห็นว่าเป็ นองค์ประกอบสําคัญในพัฒนาการ ทางวัฒนธรรม เป็ นงานทีฮ่ ุยซิงกาเสนอทฤษฎีว่าด้วย “การเล่น” ว่ามีหน้าทีอ่ ยู่ทข่ี วั ้ ตรงข้ามกับแบบแผน ตามปกติของชีวติ ประจําวัน โดย Homo Luden ได้นําประเด็นสําคัญจาก The Waning of the Middle Ages ทีส่ นใจเรือ่ งจินตนาการและภาพลักษณ์ไปอภิปรายในเชิงลึกนอกกรอบเวลาทางประวัตศิ าสตร์
70
F. R. Ankersmit, "A Phenomenomenology of Historical Experience," in History and Tropology : The Rise and Fall of Metaphor(Berkeley ; London: University of California Press, 1994), 208-209. Ankersmit อ้างอิง Huizinga, Men and Ideas : History of the Midle Ages, the Renaissance, 54.
44
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมกับประวัติศาสตร์สงั คม
F
T
การขึน้ มาของประวัตศิ าสตร์สงั คมสํานักอานาลส์ในฝรังเศสและนั ่ กประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ใน อังกฤษเป็ นความท้าทายทีส่ าํ คัญต่อวิชาการประวัตศิ าสตร์กระแสหลักที่ เป็ นประวัตศิ าสตร์การเมืองทีใ่ ห้ ความสําคัญกับเอกสารราชการ นักประวัตศิ าสตร์สงั คมหันมาสนใจหลักฐานทีอ่ ยู่ชายขอบซึ่งเป็ นข้อมูล ในทางสังคมระดับล่าง ซึง่ นักประวัตศิ าสตร์การเมืองไม่ได้ให้ความสําคัญนัก เช่น ข้อมูลจากทะเบียนพิธ ี ศีลล้างบาปจากโบสถ์ท้องถิน่ แผนผังแบ่งเขตที่ดนิ เอกสารบันทึกรูปแบบต่ างๆ เกี่ยวกับคนธรรมดา เช่น เอกสารคดีความชาวนา เอกสารศาลศาสนา ฯลฯ นอกจากด้านหลักฐานแล้วนักประวัตศิ าสตร์สงั คม ยัง นํ า เอากรอบทฤษฎี แ ละวิธ ีก ารทางด้ า นสัง คมศาสตร์เ ข้ า มาร่ ว มบู ร ณาการกับ การศึ ก ษาด้ า น ประวัตศิ าสตร์ และส่วนหนึ่งส่งผลต่อความสนใจด้านวัฒนธรรมแม้ว่าในช่วงแรกจะไม่ได้มลี กั ษณะเป็ น ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเฉพาะดังเช่นเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกา เนื่องจากประวัตศิ าสตร์สงั คมทีก่ ล่าวมา แม้จะให้ความสําคัญกับมิติทางวัฒนธรรมแต่ก็ผูกอยู่กบั สังคมและเศรษฐกิจอย่างมากโดยเชื่อว่าเป็ น รากฐานของความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การท้าทายจึงตกอยู่กบั ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่าง เลีย่ งไม่ได้แม้ไม่ได้มสี ถานะเป็ นกระแสหลัก
R
A
นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกาถูกวิจารณ์ว่ามีความเป็ นศาสตร์หรือ เป็ นวิทยาศาสตร์ไ ม่พ อ ทัง้ เป็ นประจัก ษ์นิยมตํ่าเนื่ องจากใช้ห ลัก ฐานอย่างไม่เ ป็ นระบบ รวมถึง ขาด แนวคิดทฤษฎีทเ่ี ป็นระบบ ถูกวิจารณ์ว่ามีลกั ษณะทีใ่ ช้ความรูส้ กึ ส่วนตัวของผูศ้ กึ ษา ความเข้าใจลึกซึง้ ใน การมองประวัตศิ าสตร์ของนักประวัตศิ าสตร์ทงั ้ สองกลายมาเป็ นจุดทีถ่ ูกวิจารณ์มากทีส่ ุด โดยเป็ นปญั หา ของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบคลาสสิกทีถ่ ูกตัง้ คําถามอย่างต่อเนื่อง นักประวัตศิ าสตร์สงั คมรุ่นต่อมา จากหลายสํานักพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่ออุดรอยรัวการศึ ่ กษาวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์ ทัง้ จากการ พัฒนาและหยิบยืมกรอบทฤษฎีจากสาขาอื่นๆ เช่ น สัง คมวิทยา จิต วิทยา มานุ ษ ยวิทยา วรรณคดี วิจารณ์ ปรัชญาและประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ
D
รากฐานทางทฤษฎีแ ละกรอบของนัก ประวัติศ าสตร์ส ัง คมทัง้ จากฝรังเศสและมาร์ ่ ก ซิส ม์ใ น อังกฤษมีผ ลอย่างสูง ต่ อความเข้าใจต่ อมิติทางวัฒนธรรม แม้ว่าไม่อาจจัดได้ว่าเป็ นนักประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมแต่กไ็ ด้ส่งผลถึงนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมรุน่ ต่อมาอย่างมาก หลักสําคัญประการหนึ่งของนัก ประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์และสํานักอานาลส์คอื การวิจารณ์การที่นักประวัตศิ าสตร์ให้ความสําคัญกับชน ชัน้ สูงหรือชนชัน้ ปกครอง ซึ่งปรากฏในงานของเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกาที่ศกึ ษาวัฒนธรรมชัน้ สูงเป็ น หลัก นักประวัตศิ าสตร์ทส่ี นใจ “ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่าง” (history from below) จึงหันมาศึกษา วัฒนธรรมของผูค้ นระดับล่างทางสังคม นักประวัตศิ าสตร์รุ่นใหม่ยงั วิจารณ์ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมยุค 45
คลาสิกว่ามองฉาบฉวย หรือใช้ความรูส้ กึ มากรวมถึงใช้หลักฐานเช่นวรรณกรรมหรือภาพเหมือนเป็ น กระจกสะท้อนยุคสมัยนัน้ ๆ 71 โดยหลักฐานทีอ่ ้างมามักถูกนักประวัตศิ าสตร์ทเ่ี ห็นแย้งกันชีว้ ่าเป็ นเพียง เกร็ดประวัตศิ าสตร์หรือมีหลักฐานที่แย้งกัน นักประวัตศิ าสตร์การเมืองที่เน้ นหลักฐานมองว่าฉาบฉวย เนื่องจากไม่ได้วพิ ากษ์หลักฐานอย่างเป็ นระบบแบบทีฝ่ า่ ยตนทํา ส่วนนักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์และนัก ประวัตศิ าสตร์สงั คมมองว่าฉาบฉวยเนื่องจากไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลภาพกว้างสังคมและเศรษฐกิจ หรือ ขาดความเชื่อมโยงกับ “รากฐานทางเศรษฐกิจ” อีกทัง้ วิจารณ์ทศั นะที่มองว่าวัฒนธรรมมีความเป็ นเนื้อ เดียวกันหรือมีเอกภาพของยุค และมองข้ามความขัดแย้งหรือการงัดง้างทางวัฒนธรรมระหว่างคนกลุ่ม ต่างๆ 72
T
70
71
ั นธรรมช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ทฤษฏีและประวัติศาสตร์วฒ
R
A
F
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็ นช่วงเวลาทีเ่ กิดความตื่นตัวอย่างสูงในการทําความเข้าใจมนุ ษย์ใน สภาวะสังคมสมัยใหม่ ส่วนหนึ่งมีการเสนอแนวคิดวิพากษ์ทางด้านวัฒนธรรมผ่านงานในสาขาต่างๆ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยารวมไปถึงทฤษฎีจติ วิเคราะห์ ซึง่ ต่อมาส่งผลต่อการสร้างชุดความคิดทีเ่ กี่ยวเนื่องกับ “ทฤษฎี ท างวัฒ นธรรม” ทัง้ ยัง ส่ ง ผลต่ อ การศึ ก ษาด้ า นวรรณคดีว ิจ ารณ์ ป ระวัติศ าสตร์ ศิล ปะและ ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม งานสําคัญหลายชิ้นอยู่นอกวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์แต่ ต่อมาส่งผลต่อ กรอบการวิเคราะห์ดา้ นประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างมาก นักประวัตศิ าสตร์อย่างเช่นฮุยซิงกาสนใจข้อ ถกเถียงทางด้านสังคมวิทยาและจิตวิทยาสังคมอยู่แล้วดังที่ได้กล่าวมา แม้ทฤษฎีเหล่านี้ไม่ได้มผี ลต่ อ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในยุคนัน้ มากนัก แต่ในช่วงครึง่ หลังของศตวรรษเห็นได้ถงึ การทีป่ ระวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมหันไปหาทฤษฎีมากขึน้ การทําความเข้าใจภาพรวมทางความคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมจึง เป็ นเรือ่ งสําคัญ
D
ส่วนสําคัญของแนวคิดว่าด้วยวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์มาจากงานศึกษาทางด้านสังคมวิทยา ต้องไม่ลมื ว่าพัฒนาการของสังคมวิทยาตัง้ แต่ครึง่ หลังศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมามีลกั ษณะสําคัญอย่างหนึ่ง คือ มีจดุ เริม่ ต้นในความสนใจต่อประวัตศิ าสตร์หรือเป็ นสังคมวิทยาประวัตศิ าสตร์ ทฤษฎีทางสังคมวิทยา พัฒนามาจากการศึกษารูปแบบสังคมในช่วงเวลาต่างๆในประวัตศิ าสตร์ แต่ไม่ใช่นักทฤษฎีทุกคนจะให้ 71
Burke. chapter 2 location 459 และ 468. เบิร์คฮาร์ดท์เป็ นหนึ่งในคนสําคัญทีย่ นื ยันลักษณะดังกล่าวของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ซึ่ง ฮุยซิงกาเดินตาม (ดูหน้า 24) 72 Burke. chapter 2 location 512. งานชิ้นสําคัญทีว่ พิ ากษ์ลกั ษณะนี้คอื บทความของทอมป์สนั “Custom and Culture” (1978) Edward Palmer Thompson, Customs in Common (New York: New Press, 1991).
46
ความสําคัญกับมิตทิ างวัฒนธรรมหรือความคิดนัก ส่วนหนึ่งให้ความสําคัญกับระบบเศรษฐกิจเพราะเชื่อ ว่ า เป็ น ที่ม าของทุ ก สิ่ง ดัง นั น้ ความเปลี่ย นแปลงทางวัฒ นธรรมจึง เป็ น เพีย งผลลัพ ธ์ จุด สํ า คัญ ของ การศึกษาจึงอยู่ทก่ี จิ กรรมหรือสถาบันทางเศรษฐกิจทีส่ ่งผลต่อรูปแบบทางสังคมดังทีป่ รากฏในข้อเขียน ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) 73 นักสังคมวิทยาที่อยู่ขวั ้ ตรงข้ามกับมาร์กซ์อย่างเช่นเวบเบอร์จงึ มี อิท ธิพ ลต่ อ นั ก สัง คมวิท ยาประวัติศ าสตร์แ ละนั ก ประวัติศ าสตร์ส ัง คมในช่ ว งครึ่ง แรกของศตวรรษ โดยเฉพาะผูท้ ส่ี นใจมิตทิ างวัฒนธรรม เนื่องจากเวบเบอร์ให้ความสําคัญกับวัฒนธรรมและค่านิยมว่าเป็ น ปจั จัยสําคัญที่กําหนดรูปแบบทางสังคม ใน Die protestantische Ethik und der Geist des Kapitalismus (1904; The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism) ซึง่ สิง่ ทีเ่ วบเบอร์เรียกว่า “จริยศาสตร์แบบโปรเตสแตนท์” นัน้ หมายรวมถึงประเพณีและวัฒนธรรมในทางความคิดด้วย เวบเบอร์ วิเคราะห์รากฐานทางวัฒนธรรมของระบอบทุนนิยมในยุโรปตะวันออก กล่าวถึงความเปลีย่ นแปลงทาง เศรษฐกิจด้วยการอธิบายถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและค่านิยมทีม่ รี ว่ มกัน
F
T
72
R
A
นักสังคมวิทยาที่ให้ความสนใจต่อรูปแบบวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์อย่างจริงจังคือนอร์เบิรต์ เอเลียส (Norbert Elias) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ซึ่งนอกจากเวบเบอร์แล้วยังได้รบั ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ของซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) โดยเฉพาะจาก Civilization and Its Discontent (1930) ที่กล่าวถึงการที่มนุ ษย์ต้อง “กดเก็บ” (repression) สัญชาตญาณที่ดบิ เถื่อนและก้าวร้าว ว่าเป็ นส่วน สําคัญในการทีม่ นุ ษย์เข้าสู่การมีอารยธรรม อีกทัง้ วางอยูบ่ นข้อถกเถียงทีฮ่ ุยซิงกาเสนอไว้ ใน Über den Prozeß der Zivilisation (1939; The Civilizing Process) ซึ่งเป็ นการศึกษาทางสังคมวิทยา ประวัตศิ าสตร์ว่าด้วยมารยาทในอารยธรรม ซึง่ โดยสาระสําคัญจัดได้ว่าเป็ นประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม เอ เลียสพยายามอธิบายทฤษฎีการเข้าสู่ความมีอารยธรรม เห็นว่าเป็ นกระบวนการระยะยาวทีส่ ่งผลต่อการ เปลีย่ นกรอบว่าด้วยบุคลิก มารยาทและการปฏิบตั ติ น
D
ขณะทีเ่ วบเบอร์ศกึ ษาปรากฏการณ์ “calling” (Beruf) ในทางโลกของสาขาอาชีพ ซึง่ มีรากฐาน มาจากคุ ณ ค่าและวัฒนธรรมแบบโปรเตสแตนท์ ซึ่งอาจกล่ าวได้ว่ าเป็ นการศึกษากระบวนการเข้าสู่ “ศิวไิ ลซ์” ของยุโรปผ่านการจัดระเบียบในตัวตนผ่านวินัยในการประกอบสัมมาอาชีพ ส่วนเอเลียสมอง กระบวนการสู่อารยะเป็ นการจัดระเบียบเช่นกันผ่านการข่มตน ควบคุมตัวเองและมารยาทในช่วงปลาย สมัยกลางมาถึงศตวรรษที่ 19 โดยศึกษาผ่านหนังสือสอนการวางตนของข้าราชบริพารในราชสํานักและ 73
แนวคิดของมาร์กซ์จะมีผลต่อประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมค่อนข้างช้าคือในช่วงครึง่ หลังศตวรรษที่ 20 ซึง่ เป็ นผลมาจากการทบทวนงานของ มาร์กซ์ของนักประวัตศิ าสตร์สงั คม รวมไปถึงสาขาวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) ทีเ่ กิดขึน้ ใหม่ในอังกฤษด้วย (ผ่านแกรมซี) ซึ่งจะ กล่าวต่อไป
47
หนั ง สือ คู่ม ือ มารยาททางสัง คม เอเลีย สชี้ว่ า ในช่ ว งปลายสมัย กลางแต่ ต้ น สมัย เรอเนสซองส์ม ีก าร เปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์ ว่าด้วยการควบคุมตนเองอย่างชัดเจน 74 โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็ นผลมาจากการแตกตัวทางสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเพิม่ ขึน้ ของการแข่งขัน นํ ามา ซึง่ การก่อรูปของระบบรัฐทีม่ อี ํานาจรวมศูนย์ และระบบเศรษฐกิจทีใ่ ช้เงินเป็ นสื่อกลางในการแลกเปลีย่ น เอเลียสลดบทบาทของปจั จัยจากศาสนาและค่านิยมทางความคิด มาสนใจปจั จัยทางสังคมและเศรษฐกิจ อีกทัง้ ยังมองในมิตทิ างวัฒนธรรมทีซ่ บั ซ้อนมากยิง่ ขึน้ ผ่านจิตวิทยาในระดับปจั เจก ซึง่ ได้แก่กรอบว่าด้วย มารยาทและการควบคุมทางอารมณ์ ซึง่ ส่วนหนึ่งเป็ นการอภิปรายต่อจากฮุยซิงกาซึง่ สนใจทีผ่ ลผลิตทาง วัฒนธรรมชัน้ สูงเช่นวรรณกรรมและศิลปะ เอเลียสสนใจทีพ่ ฤติกรรมพืน้ ฐานเช่น มารยาทว่าด้วยการกิน การขับถ่าย พฤติกรรมทางเพศและปฏิสมั พันธ์ทางสังคม ซึง่ เปลี่ยนไปเนื่องจากเส้นแบ่งว่าสิง่ ใดน่ าอับ อายหรือน่ ารังเกียจเปลีย่ นแปลงไป เอเลียสใช้คาํ ว่า “habitus” ซึง่ เป็ นด้านหนึ่งของวัฒนธรรมทีฝ่ งั รากอยู่ ในวิถปี ฏิบตั ติ ่างๆ ทีแ่ สดงออกทางร่างกายในชีวติ ประจําวัน เช่นความคุน้ เคยในการกระทําบางอย่างที่ ทําโดยไม่ได้นึกรูต้ วั ดังที่กล่าวมาข้างต้นรวมถึงธรรมเนียม นิสยั และรูปแบบทางอารมณ์บางอย่างของ ่ านักอา ปจั เจก กลุ่มคนหรือชนชาติ 75 งานของเอเลียสเป็ นอิทธิพลสําคัญต่อนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสสํ นาลส์ในรุ่นที่สาม ซึ่งหันหลังให้การศึกษาประวัตศิ าสตร์สงั คมเชิงปริมาณ หันไปศึกษาวัฒนธรรมและ ความรูส้ กึ นึกคิดภายใต้ histoire des mentalités เนื่องจากงานของเอเลียสได้รบั ความสนใจขึน้ ใหม่ใน ทศวรรษที่ 1970 หลังจากทีอ่ ยูช่ ายขอบมานาน 76
A
74
F
T
73
75
D
R
นอกจากสังคมวิทยาแล้วสาขาทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมคือประวัตศิ าสตร์ ศิลปะ ซึง่ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็ นสาขาทีม่ ที ท่ี างของตนเองเข้มแข็งแล้ว ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะในเวลา นัน้ ให้ความสําคัญกับการตีความสัญลักษณ์หรือร่องรอยในงานศิลปะ โดยรับอิทธิพลจากกรอบทฤษฎี จากจิตวิทยา ปรัชญาและมานุ ษยวิทยาในการวิเคราะห์ความหมาย อีกทัง้ ยังลงลึกในเชิงรายละเอียด ให้ ความสําคัญกับทัศนะและคุณค่าทีซ่ บั ซ้อน รวมถึงการสืบทอดแบบแผนทางความคิดผ่านขนบในการสื่อ ความหมายในการสร้างงานศิลปะ การรับรูแ้ ละอารมณ์ความรูส้ กึ ซึง่ เป็ นลักษณะสําคัญของประวัตศิ าสตร์
74
Norbert Elias, The Civilizing Process : Sociogenetic and Psychogenetic Investigations, trans., Edmund Jephcott, Revised ed. (Oxford, U.K.: Blackwell, 2000), 478. 75 แนวคิดลักษณะนี้ปรากฏในข้อเขียนของเวบเบอร์เช่นเดียวกัน โดยใช้คาํ ว่า Eingestelltheit ซึ่งอาจได้ว่า “disposition” ต่อมาบูร์ดเิ ยอใช้ คําว่า habitus มาอธิบายจนเป็นแนวคิดหลักทางสังคมวิทยาอันหนึ่ง 76 Über den Prozeß der Zivilisation ถูกนํ ากลับมาตีพมิ พ์ใหม่ในปี 1969 แปลเป็ นภาษาอังกฤษและตีพมิ พ์ส่วนแรกและส่วนที่ 2 ในปี 1978 และ 1982 ตามลําดับ ภาษาฝรังเศสตี ่ พมิ พ์ ในปี 1974 และ 1975 ซึง่ ขณะนัน้ เป็ นช่วงเวลาสําคัญของประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์ท่ี หันไปสนใจ mentalités
48
F
T
ศิลปะ ดังเช่น เอบี วอร์เบิรก์ (Aby Warburg), แอร์นส์ กอมบริช (Ernst Gombrich) และ เออร์วนิ พา นอฟสกี (Erwin Panofsky) ทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เป็ นยุครุ่งเรืองของสื่อสารมวลชนหรือ mass media สื่อใหม่เช่นทัง้ ภาพยนตร์ ดนตรี ภาพถ่ายรวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการพิมพ์นิตยสาร ภาพ รวมไปถึงลัทธิบริโ ภคนิ ยมที่ภาพลักษณ์ (image) มีบทบาทสําคัญ ดังที่ว อลเตอร์ เบนจามิน (Water Benjamin) ชีว้ ่าเป็ น “ยุคของสื่อผลิตซํ้า” (age of mechanical reproduction) นักวิชาการใน สาขาต่างๆจึงให้ความสนใจต่อมิตทิ างความหมายและการรับรูผ้ ่านผลผลิตทางวัฒนธรรมมาก อีกทัง้ การ ค้นคว้าทางจิต วิทยาและความแพร่ห ลายของทฤษฎีจติ วิเ คราะห์เ ป็ นแรงส่ ง อย่างดีต่ อ การศึก ษามิติ ของสัญญะ ภาพลักษณ์ และความหมายในประวัตศิ าสตร์ นอกจากทฤษฎีจากสังคมวิทยายุคคลาสสิก สาขาสังคมวิทยาความรู้ (sociology of knowledge) ทีแ่ พร่หลายจากยุโรปตอนกลางตัง้ แต่ทศวรรษที่ 1920 ทีย่ งั ส่งอิทธิพลในเชิงทฤษฎีต่อประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม โดยส่งอิทธิพลในวงกว้างจากการอพยพ ออกของนัก วิชาการเพื่อหลบหนีจากการคุกคามของนาซี ความสนใจทางด้านสัญ ญะ จิตวิทยาและ ปรัชญาทีเ่ กี่ยวข้องกับการตีความเป็ นทีส่ นใจในทศวรรษที่ 1920 และ 1930 โดยเฉพาะจากนักวิชาการ สาขาวรรณคดี ปรัช ญา มานุ ษ ยวิท ยาและประวัติศ าสตร์ค วามคิด โดยเฉพาะการให้ ค วามสํ า คัญ กับสัญญะในแง่มุมทางวัฒนธรรม อาทิเช่นงานของแอร์นส์ คานโตโรวิซ (Ernst Kantorowicz) นัก ประวัตศิ าสตร์ชาวเยอรมัน 77 และ The Individual and the Cosmos in Renaissance Philosophy (1927) ประวัตศิ าสตร์ปรัชญาของแอร์นส์ คาสซิเรอร์ (Ernst Cassirer) นักปรัชญาชาวเยอรมัน
A
76
R
ในช่วงเวลาดังกล่าวความสนใจต่อมิตทิ างวัฒนธรรมยังปรากฏในงานศึกษาประวัตศิ าสตร์อารย ธรรมสําคัญหลายชิ้น โดยใช้คําว่า “civilization” แทนที่จะใช่คําว่า “culture” เนื่องจากเป็ นงานที่สนใจ ภาพรวมของอารยธรรมทัง้ ในแง่การเมือง เศรษฐกิจและสังคม เช่น Study of History (1934-61) ของอา โนลด์ เจ ทอย์นบี (Arnold J. Toynbee); The Rise of American Civilization (1927) โดยชาร์ลว์ และ แมรี่ เบียร์ด (Charles และ Mary Beard) และ The Making of Europe (1936) โดยคริสโตเฟอร์ ดอว์สนั (Christopher Dawson)
D
นักประวัติศาสตร์อกี กลุ่มที่สนใจต่อมิตทิ างวัฒนธรรมคือกลุ่มนักประวัติศาสตร์ภูมปิ ญั ญาและ ประวัตศิ าสตร์ความคิด ซึง่ ในทศวรรษที่ 1920 และ 1930 มีอยู่ในโลกวิชาการอังกฤษและอเมริกา เช่น กลุ่มประวัตศิ าสตร์ความคิดของอาเธอร์ เลิฟจอย (Arthur Lovejoy) ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์
77
งานในช่วงแรกของ Kantorowicz เช่น Kaiser Friedrich der Zweite (1927) และ Das Geheime Deutschland (1933) รวมถึงงานชิ้น สําคัญในช่วงหลังอย่าง The King's Two Bodies (1957)
49
A
F
T
ภายใต้วารสาร Journal of the History of Ideas ซึง่ ก่อตัง้ ปี 1940 ซึง่ เป็ นการรวมกันของนักวิชาการด้าน ปรัชญา วรรณคดีและประวัตศิ าสตร์ โดยรวมตัวอย่างหลวมในลักษณะการบูรณาการจากต่างสาขาซึง่ ให้ ความสนใจต่อมิตทิ างวัฒนธรรม ส่วนในอังกฤษมีงานศึกษาประวัตศิ าสตร์ความคิดและวัฒนธรรมที่ ออกมาจากนักวิชาการด้านวรรณคดีองั กฤษและนักประวัติศาสตร์นอกวงวิชาการ เช่น บาซิล วิลลีย์ (Basil Willey), อี. เอ็ม. ดับบลิว. ทิลลาร์ด (E.M.W. Tillard) และจี.เอ็ม. ยัง (G.M. Young)78 เห็นได้ว่า งานด้านประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงนี้ไม่ได้เกิดขึน้ จากอาจารย์ประวัตศิ าสตร์ แต่มกั มาจากสาขาอื่น เช่ นวรรณดดีอ ัง กฤษและปรัช ญา อีก ทัง้ วารสารวิชาการที่ตีพ ิมพ์ง านศึก ษาประเภทประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรมไม่ใ ช่ ว ารสารสาขาประวัติศ าสตร์ขนานแท้ แต่ มาจากวารสารที่มลี กั ษณะสหวิชาการและ ประวัตศิ าสตร์อารยธรรม โดยงานจากนักวิชาการนอกสาขาวิชาประวัตศิ าสตร์เป็ นแนวโน้มทีม่ ตี ่อเนื่อง ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็ นคุณูปการที่สําคัญต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ทําให้มงี าน สําคัญตัง้ แต่ The Art of Memory (1966) โดยฟรานเชส เยทส์ (Frances Yates) ไปจนถึง the Long Revolution (1961) ของเรย์มอนด์ วิลเลียมว์ (Raymond Williams) และ Orientalism (1978) โดยเอ็ด วาร์ด ซาอิด (Edward Said) ที่อาจจัด ได้ว่าเป็ นประวัติศาสตร์ว ฒ ั นธรรม ไม่รวมถึง งานของนัก ประวัตศิ าสตร์นอกวงวิชาการอีกจํานวนมาก อานาลส์กบั วัฒนธรรม : มาร์ค โบลค, ลุเซียง เฟบวร์ และ เฟอร์นานด์ โบรเดล
D
R
ประวัตศิ าสตร์สาํ นักอานาลส์เริม่ ขึน้ จากมาร์ค โบลค (Marc Bloch) และ ลุเซียง เฟบวร์ (Lucien Febvre) เริม่ ออกวารสาร Annales d'histoire économique et sociale ในปี 1929 ซึง่ สร้างผลสะเทือนต่อ วงวิช าการด้านประวัติศ าสตร์อ ย่า งต่ อ เนื่ อ ง การมองประวัติศ าสตร์เ ป็ น การบูร ณาการความรู้ด้า น สัง คมศาสตร์ส าขาต่ างๆ เข้าด้ว ยกันได้แก่ ภูมศิ าสตร์ ประชากรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สัง คมวิทยา จิตวิทยา ฯลฯ แม้จะถูกเรียกว่าเป็ นประวัติศาสตร์สงั คม แต่ งานหลายชิ้นก็ให้ความสําคัญกับมิติทาง วัฒนธรรมด้วย เช่น ความเปลีย่ นแปลงทางความคิด โลกทัศน์และธรรมเนียมประเพณี แม้จะมองว่าเป็ น ผลมาจากปจั จัยทางภูมศิ าสตร์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทําให้วฒ ั นธรรมถูกมองว่าเป็ นผลลัพธ์ อย่างไร ก็ดแี นวคิดว่าด้วยวัฒนธรรมเป็ นส่วนสําคัญของประวัตศิ าสตร์สํานักนี้ซง่ึ จะเห็นผลชัดเจนในงานของนัก ประวัตศิ าสตร์รนุ่ ต่อๆ ไป
78
Burke. chapter 1 location 326
50
T
ส่วนหนึ่งของการบูรณาการจากสาขาวิชาต่างๆ ส่วนที่มผี ลต่อแนวคิดว่าด้วยวัฒนธรรมมาจาก นักวิชาการร่วมสมัยในสาขาจิตวิทยาสังคม มานุ ษยวิทยาและสังคมวิทยา เช่น อีมลิ เดอร์ไคหม์ (Emile Durkheim) ส่งอิทธิพลในวงกว้างขณะนัน้ มอรีส ฮาล์บวาคซ (Maurice Halbwachs) ทีส่ นใจกลไกของ ความทรงจําร่วมทางสังคม, อองรี บรีมอนด์ (Henri Bremond) นักปรัชญาและผูเ้ ชีย่ วชาญด้านวรรณคดี ผูเ้ ขียนงานจิตวิทยาเชิงประวัตศิ าสตร์ ลุเซียง ลีว-ี บรูห์ (Lucien Lévy-Bruhl) ผูส้ นใจความรูส้ กึ นึกคิดของ มนุ ษย์ยคุ ดึกดําบรรพ์, ชาร์ลส์ บลอนเดล (Charles Blondel) นักจิตวิทยาทดลองผูเ้ ป็ นศิษย์ของลีว-ี บรูห์ และอาจารย์ร่วมมหาวิทยาลัยขณะนัน้ รวมไปถึงที่ลุเซียง เฟบวร์ยกย่องงานของเบิร์คฮาร์ดท์ว่าเป็ น อิทธิพลสําคัญด้วย 79 จากรายชื่อข้างต้นพอเห็นได้ถึงอิทธิพลของอองรี แบร์ซง (Henri Bergson) โดยเฉพาะแนวคิดการทําความเข้าใจความรูส้ กึ นึกคิดของมนุ ษย์ทค่ี า้ นกับกรอบแบบเหตุผลนิยมซึง่ มีต่อ สังคมศาสตร์ในฝรังเศส ่ ซึง่ แม้จะแบร์ซงไม่ได้มอี ทิ ธิพลต่อวิชาการประวัตศิ าสตร์โดยตรง แต่อาจกล่าวได้ ว่าส่งผลต่ อความคิดว่าด้วยการศึกษาประวัติศ าสตร์ในมิติทางวัฒนธรรมอยู่มากโดยเฉพาะเรื่องการ อธิบายเรื่องความรูส้ กึ นึกคิดนอกกรอบเหตุผลนิยมและความสนใจต่อมโนทัศน์ต่อการเปลี่ยนผ่านของ เวลาซึ่งเป็ นความสนใจของนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสมาอย่ ่ างต่อเนื่อง อีกทัง้ คําว่า mentalité ที่วง วิชาการด้านมานุ ษยวิทยาและจิตวิทยาในฝรังเศสใช้ ่ อยู่ในขณะนัน้ มีนัยของความไม่เป็ นเหตุเป็ นผลทีใ่ ช้ กับมานุ ษยวิทยามนุ ษย์ดกึ ดําบรรพ์ เช่น ลีว-ี บรูห์ ใน La Mentalité Primitive (1922; Primitive Mentality) รวมถึงจิตวิทยาเด็กและสังคมสํานึกทางศาสนา ซึง่ เป็ นแนวโน้ มความสนใจทางสังคมวิทยา ขณะนัน้ ซึง่ เดินตามอีมลิ เดอร์ไคหม์
A
F
7 8
D
R
ใน Les Rois Thaumaturges (1924, the Royal Touch) โบลคศึกษาปรากฏการณ์ความเชื่อทีว่ ่า กษัตริยใ์ นสมัยกลางและต้นสมัยใหม่สามารถรักษาโรควัณโรคทีต่ ่อมนํ้ าเหลือง (scrofula) หรือทีเ่ รียกว่า “the king's evil” โดยวิเคราะห์ในเชิง “จิตวิทยาศาสนา” ในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์โดยสนใจที่ “ภาพลวงที่ คนมีร่วมกัน” (“collective illusion”) โดยคําถามและประเด็นศึกษาอยู่ในปริมณฑลของสาขาจิตวิทยา มานุ ษยวิทยาและสังคมวิทยามากกว่าสาขาประวัตศิ าสตร์ แนวคิดเรื่องสํานึกร่วมและ mentalité ปรากฏ
79
งานชิน้ สําคัญๆ ของได้แก่ Maurice Halbwachs, Les cadres sociaux de la mémoire, (1952, ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในวารสาร Les Travaux de L'Année Sociologique ปี 1925); Henri Bremond, Histoire littéraire du sentiment religieux en France depuis la fin des guerres de religion jusqu'à nos jours (11 vols, 1916 to 1936); Lucien Lévy-Bruhl, La Mentalité Primitive (1922) ดู Ulick Peter Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, Key Contemporary Thinkers (cambridge, UK.: Polity Press, 1990), 15-17.
51
อยู่ใ นงานชิ้น นี้ ซ่ึง โบลคกล่ า วถึง มิติทางความคิด และสํา นึ ก ร่ว มของคนในสัง คม 80 ส่ ว นใน Feudal Society (1939, 1940) ซึง่ โบลคนิยามระบอบฟิ วดัลกว้างนักประวัตศิ าสตร์สมัยกลางทีจ่ าํ กัดในมิตทิ าง กฎหมายและการทหารเป็ นหลักตามนักประวัตศิ าสตร์การเมืองกระแสหลัก 81 โดยโบลคมองในมิตทิ าง สภาวะแวดล้อมทางภูมศิ าสตร์ ประชากร เทคโนโลยีเกษตร เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมด้วย ในทาง วัฒนธรรมโบลคอธิบายถึงความรูส้ กึ นึกคิดและจิตวิทยาภายใต้หวั ข้อ “Modes of feeling and thought” กล่าวถึงภาษาและวรรณกรรมในแง่ “modes of expression” ในระบอบฟิ วดัลและกล่าวถึง “religious mentality” ในมิตทิ างมานุ ษยวิทยา การปฏิบตั ติ นและมารยาทในราชสํานัก 82 วัฒนธรรมความรักในราช สํานัก (courtly love) 83 ลัทธิบูชาพระแม่มารี 84 รวมถึงอธิบายความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและความคิด ในช่วงศตวรรษที่ 12 โดยวิเ คราะห์ใ นแง่ความรู้สกึ นึกคิดจากปรากฏการณ์ ทางวัฒนธรรมต่ างๆ 85 เชื่อมโยงสํานึกที่เปลี่ยนไปกับการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง ซึ่งได้รบั อิทธิพลจาก สังคมวิทยาของเดอร์ไคหม์ โบลคชีใ้ ห้เห็นว่าวรรณกรรม ธรรมเนียมและทัศนคติต่างๆ ในสมัยกลางเป็ น ผลจากความเปลี่ย นแปลงทางโครงสร้า งประชากร การเปลี่ยนแปลงด้านกสิก รรมและรูป แบบทาง เศรษฐกิจ 7 9
80
T
81
83
F
8 4
D
R
A
ขณะทีป่ ระวัตศิ าสตร์สมัยกลางของโบลคถกเถียงเรือ่ งสมัยกลางกับนักประวัตศิ าสตร์การเมืองซึง่ เป็ นกระแสหลักโดยนํ าเอาคําอธิบายทางสังคมศาสตร์เข้ามา ลุเซียง เฟบวร์ทเ่ี ชี่ยวชาญฝรังเศสยุ ่ คต้น สมัยใหม่ผ่านผลผลิตทางวัฒนธรรมทัง้ ในแง่วรรณกรรม หนังสือและการพิมพ์ อธิบายวัฒนธรรมผ่านมิติ ทางจิตวิทยาสังคม เฟบวร์ถกเถียงประเด็นเรื่องฝรังเศสยุ ่ คเรอเนสซองส์และยุคปฏิรูปศาสนา กับนัก ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ ประวัตศิ าสตร์วรรณกรรมและนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม กล่าวคือก่อนหน้ านี้มติ ิ ทางวัฒนธรรมถูกมองในแง่มุมทีส่ นใจแต่วฒ ั นธรรมชัน้ สูงและให้ความสําคัญกับพัฒนาการของจิตสํานัก และทัศนะของผูค้ นมีอํานาจและผูส้ ร้างสรรค์ซง่ึ อยูใ่ นแวดวงวัฒนธรรมทีค่ ่อนข้างแคบ เช่น ราชสํานัก ชน ชัน้ สูง นักปราชญ์ นักเขียนและศิลปิ น โดยเฟบวร์ได้วจิ ารณ์ทศั นะดังกล่าวและเสนอในงานศึกษาชีว้ ่าไม่
80
สําหรับแนวคิดทฤษฎีสงั คมของเดอร์ไคหม์ในงานของโบลค ดู R. Colbert Rhodes, "Emile Durkheim and the Historical Thought of Marc Bloch," Theory and Society 5, no. 1 (1978). 81 นักประวัตศิ าสตร์คนสําคัญทีย่ ดึ นิยามระบอบฟิ วดัลอย่างแคบคือฟร้งซัว-หลุยส์ กานชอฟ (François-Louis Ganshof)นักประวัตศิ าสตร์ ชาวเบลเยีย่ มในข้อเขียน Qu'est-ce que la féodalité? (1944) 82 Marc Bloch, Feudal Society Volume 2, Phoenix Books, vol. 2 (Chicago: University of Chicago Press, 1964), 306. 83 Marc Bloch, Feudal Society Volume 1, Phoenix Books, vol. 1 (Chicago: University of Chicago Press, 1964), 233. 84 Bloch, Feudal Society Volume 2, 417. 85 Bloch, Feudal Society Volume 1, 106-107.
52
ได้มาจากการค้นพบ ความคิดหรือสติปญั ญาของกลุ่มบางกลุ่ ม แต่ เ ป็ นผลมาจากความต้องการรับรู้ ความคิดใหม่จากสังคมในวงกว้าง 86 ใน The Problem of Unbelief in the Sixteenth Century: The Religion of Rabelais ที่ตงั ้ คําถามกับการเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้าของฟรังซัวส์ แรบเบอเลส์ (François Rabelais) ผ่านงานประพันธ์ในบริบททางความคิดของสังคมฝรังเศสในช่ ่ วงต้นสมัยใหม่ เฟบวร์อธิบาย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลงานของแรบเบอเลส์กบั เครื่องมือทางความคิดทีส่ บื ต่อมาจากสมัยกลางของ สังคมโดยรวม เฟบวร์ใช้วลี “outillage mental” (mental tools) กล่าวว่า 85
F
T
ทุกอารยธรรมมีอุปกรณ์ทางความรูส้ กึ นึกคิดเป็ นของตน ทุกยุคสมัยของอารยธรรมนัน้ ๆ มีพฒ ั นาการทางเทคโนโลยีและทางวิทยาศาสตร์เกิดลักษณะเฉพาะ ชุดเครื่องมือทีม่ จี ะถูกปรับ ให้ละเอียดลออมากขึน้ สําหรับเป้าหมายบางอย่างและน้อยลงสําหรับเป้าหมายบางอย่าง ไม่อาจ แน่ ใจได้ว่าอารยธรรมหรือยุคหนึ่งๆ สามารถส่งผ่านเครื่องมือเหล่านี้ให้อารยธรรมหรือยุคถัดไป เครื่องมืออาจเสื่อมสภาพ ถดถอยหรือถูกทําให้บดิ เบี้ยวไป ในทางตรงข้ามกันอาจถูกพัฒนา ปรับสภาพหรือทําให้มคี วามซับซ้อนขึน้ เครื่องมือเหล่านี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่ออารยธรรมหรือยุค นัน้ ประสบความสําเร็จในการสร้างมันและใช้มนั แต่คุณค่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดไปเพื่อมวลมนุ ษย์ แม้ในอารยธรรมนัน้ เองเครือ่ งมือเหล่านัน้ ก็ไม่ได้มคี ุณค่าเสมอไป 87
A
86
R
ในบทความปี 1938 เฟบวร์ใช้วลีน้ี “outillage mental” (mental equipment) เพื่ออธิบายถึงระบบ ของผลงานทางวัฒนธรรมทีช่ ใ้ี ห้เห็นว่ากลุ่มผูร้ บั เอาความคิดมีความสําคัญไม่น้อยไปกว่าปจั เจกซึง่ เป็ นผู้ แต่งหรือผูท้ ไ่ี ด้ช่อื ว่าเป็ นผูร้ เิ ริม่ ทางความคิด ชีว้ ่าผูร้ บั เหล่านี้มคี วามสําคัญในการให้ความหมายใหม่และ ทําให้เป็ นของตนเอง อีกทัง้ ยังชีว้ ่าปจั เจกทีไ่ ด้ช่อื ว่าเป็ นผูร้ เิ ริม่ ไม่ได้เป็ นอิสระจากระบบและแรงผลักดัน ต่ างจากคนอื่นๆ เป็ นเพียงผู้หยิบจับเอาเครื่องมือและเทคนิควิธที างความคิด อารมณ์ และภาษาที่ใ ช้
86
Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 20. Lucien Febvre, Le problème de l'incroyance au 16e siècle : la religion de Rabelais (1937). แปลและตีพมิ พ์เป็ นภาษาอังกฤษในปี 1982 Lucien Febvre, The Problem of Unbelief in the Sixteenth Century : The Religion of Rabelais, trans., Beatrice Gottlieb (Cambridge, Mass.: Harvard University Press, 1982), 150. Every civilization has its own mental tools. Even more, every era of the same civilization, every advance in technology or science that gives it its character, has a revised set of tools, a little more refined for certain purposes, a little less so for others. A civilization or an era has no assurance that it will be able to transmit these mental tools in their entirety to succeeding civilizations and eras. The tools may undergo significant deterioration, regression, and distortion; -or, on the contrary, more improvement, enrichment, and complexity. They are valuable for the civilization that succeeds in forging them, and they are valuable for the era that uses them; they are not valuable for all eternity, or for all humanity, nor even for the whole narrow course of development within one civilization.
D
87
53
ร่ ว มกัน อยู่ใ นสัง คมซึ่ง เกี่ย วพัน ธ์ ก ับ สภาวะแวดล้ อ มและความเป็ น อยู่ ใ นหลายมิติ 88 ประวัตศิ าสตร์จะใช้ความรูท้ างจิตวิทยาโดย 8 7
โดยนั ก
T
สํารวจอุปกรณ์ทางความรูส้ กึ นึกคิดของคนในยุคนัน้ ๆ อย่างละเอียดว่ามีอะไรบ้าง และ สร้างมโนทัศน์ทางกายภาพ ปญั ญาและทางจิตใจของคนรุ่นก่อนขึน้ มาใหม่โดยใช้ทงั ้ ความรูแ้ ละ จินตนาการ สร้างภาพความขาดแคลนในทางความคิดและทางเทคนิคในช่วงเวลานัน้ ทีท่ ําให้ ผู้ ค นกลุ่ ม นั ้น มีม โนทัศ น์ ต่ อ โลก ชีว ิ ต ศาสนาและการเมือ งบิ ด เบี้ ย วไป และสุ ด ท้ า ยนั ก ประวัตศิ าสตร์ตอ้ งตระหนักว่า “จักรวาล” ไม่ได้จริงแท้ไปกว่า “จิตใจ” หรือ “ปจั เจก” แต่เป็ นสิง่ ที่ ถูกแปรสภาพซึง่ เป็ นผลจากการคิดค้นและอารยธรรมทีถ่ ูกสร้างขึน้ โดยกลุ่มคน 89 88
F
วลี outillage mental ไม่ได้มกี รอบแนวคิดทีช่ ดั เจนและเฟบวร์ไม่เคยอธิบายกรอบแนวคิดอย่าง เป็ นระบบ แต่กพ็ อเห็นได้จากงานของเฟบวร์เอง แนวคิดดังกล่าวเป็ นการอธิบาย Zeitgeist หรือ “จิต แห่งยุคสมัย” ทีเ่ ป็ นกรอบของนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกา สําหรับเฟบวร์ แล้ววลีน้ีมลี กั ษณะคือ มองความสัมพันธ์ระหว่างความตัง้ ใจของผูแ้ ต่งหรือผูผ้ ลิตกับผลผลิตทางความคิด หรือทางวัฒนธรรมว่าเป็ นความสัมพันธ์ซบั ซ้อนและอยู่นอกเหนือสํานึก อีกทัง้ ยังมีนัยของการวิจารณ์ การให้เครดิตกับอัจฉริยภาพของปจั เจก มองว่ามาจากอุปกรณ์ทางความคิดทีม่ อี ยู่และมีผูใ้ ช้อยู่แล้ว 90 โร เจอร์ ชาติเยร์ (Roger Chartier) อธิบายแนวคิดของเฟบวร์ไว้ดงั นี้
A
89
R
สิง่ ทีก่ ําหนดกรอบหรือข้อจํากัดของ outillage mental คือ สภาวะของภาษา รายการและ ประเภทของคําศัพท์ โครงสร้างประโยคทางไวยากรณ์ ภาษาและเครื่องมือทางตรรกะ รวมไปถึง 88
D
Lucien Febvre, Encyclopédie française, vol. viii (1938). แปลและตีพมิ พ์เป็ นภาษาอังกฤษในปี 1973 Lucien Febvre, A New Kind of History : From the Writings of Febvre (London,: Routledge and Kegan Paul, 1973), 3-6. เฟบวร์ให้ความสําคัญกับมิตทิ างอารมณ์ มากกว่ามาร์ก โบลคและเฟอร์นานด์ โบรเดล โดยในบทความนี้ได้ยกความสําคัญของการใช้อุปมา “blood and rose “ ของฮุยซิงกาเพื่อใช้ อธิบายความรูส้ กึ นึกคิดของคนในอดีต 89 ตีพมิ พ์ในปี 1938 Febvre, A New Kind of History : From the Writings of Febvre, 9-10. The task is, for a given period, to establish a detailed inventory of the mental equipment of the men of the time, then by dint of great learning, but also of imagination, to reconstitute the whole physical, intellectual and moral universe of each preceding generation. Then to form a precise picture of the conceptual and technical shortcomings at a given moment, which necessarily distorted a given social group’s image of the world, life, religion and politics. Finally… to realize that ‘universe’ is no more an absolute than the ‘spirit’ or the ‘individual’ but that it is constantly being transformed through the inventions and civilizations produced by human groups. 90
Roger Chartier, "Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories," in Modern European Intellectual History : Reappraisals and New Perspectives, ed. Dominick LaCapra and Steven L. Kaplan(Ithaca: Cornell University Press, 1982), 18.
54
‘เครื่องสนับสนุ นความคิดทางผัสสะ’ (“sensitive support of thought”) ซึง่ เห็นได้ผ่านระบบของ การทําความเข้าใจโลก โดยมีสารบบทีแ่ ปรเปลีย่ นเป็ นสิง่ ซึง่ กําหนดโครงสร้างทางอารมณ์ซง่ึ เป็ น ลักษณะเฉพาะของแต่ละยุค โดยจุดหมุนทางภาษา ทางความคิดและทางอารมณ์เคลื่อนทีม่ าตัด กันเป็ นสิง่ กําหนด ‘วิถที างความคิดและความรูส้ กึ ’91
A
F
T
ดังนัน้ นักประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมจึงไม่ควรจํากัดอยู่เพียงสุดยอดวรรณกรรมและผู้สร้างสรรค์ งาน แต่ควรทําความเข้าใจทีภ่ าษาและวัฒนธรรมของผูค้ นต่างกลุ่มสังคม เพื่อจะได้มองเห็นปฏิสมั พันธ์ ระหว่ างวัฒนธรรมต่ างๆ อีก ทัง้ ไม่ค วรทึก ทัก ว่ า วัฒนธรรมของกลุ่ มคนหรือ ชนชาตินัน้ เป็ นเอกภาพ รวมถึงเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมอื่นๆ ถูกสร้างขึน้ มาอย่างไร แม้ งานบางชิ้นของเฟบวร์จะมีลกั ษณะของชีวประวัตบิ ุคคลที่มอี ทิ ธิพลทางความคิดและทางวัฒนธรรมเช่น มาติน ลูเธอร์ (Martin Luther) และฟรังซัวส์ แรบเบอเลส์ ที่แท้จริงแล้วเป็ นการศึกษาสังคมหรือศึกษา outillage mental ทีไ่ ด้สร้าง “วีรบุรุษ” หรือ “อัจฉริยบุคคล” ขึน้ มา ซึง่ เป็ นทัง้ หนึ่งในผู้สงั เกตการณ์และ เป็ นหนึ่งในผลิตผลจากการกําหนดของสังคมต่อทีม่ ตี ่อคนทุกคน เป็ นสิง่ ทีจ่ ํากัดเสรีภาพของการคิดค้น ริเริม่ ของปจั เจก ดังนัน้ สิง่ ที่ตามมาซึ่งแตกต่ างจากแนวคิดประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมยุคคลาสสิกและ แนวทางของเออร์วนิ พานอฟสกี (Erwin Panofsky) คือกับ outillage mental เฟบวร์มนี ยั ว่าเป็ นชุด เครื่องมือทางภาษา สัญญะและแนวคิดทีด่ ํารงอยู่อย่างเป็ นวัตถุวสิ ยั เพื่อการนํ าไปใช้เป็ นเครื่องมือทาง ความคิดของปจั เจก กล่าวคือไม่ได้อยูภ่ ายในปจั เจกหรือกลุ่มคน แต่เป็ น “โรงเก็บวัสดุทางความคิด” ทีจ่ ะ ถูกหยิบจับขึน้ มาใช้ ไม่ได้มนี ยั ของเอกภาพทางความคิดและวัฒนธรรมของสังคม 92 91
D
R
กรอบแนวคิดว่าด้วย outillage mental และ mentalité มีอทิ ธิพลอย่างสูงต่อนักประวัตศิ าสตร์ สํานักอานาลส์รุ่นที่สอง อย่างไรก็ดเี ฟอร์นานด์ โบรเดล (Fernand Braudel) ซึง่ ถือได้ว่าเป็ นผูน้ ํ าคน สําคัญและเป็ นผูท้ ท่ี ําให้ประวัตศิ าสตร์สํานักนี้แพร่อทิ ธิพลสู่โลกวิชาการสากล กลับให้พน้ื ทีแ่ ละอภิปราย mentalité ค่อนข้างน้อย แม้แต่ในบททีช่ ่อื “Civilizations” ใน The Mediterranean โบรเดลกล่าวถึงระบบ คุณค่าต่างๆค่อนข้างน้อย แม้ว่าคุณค่าทีเ่ กีย่ วข้องกับศาสนามีความสําคัญในแถบนี้สูง อีกทัง้ โบรเดลมอง วัฒนธรรมในแบบที่นักภูมศิ าสตร์มองกล่าวคือมองในลักษณะของการจัดแบ่งตามพื้นที่ ไม่มแี นวคิดว่า ด้วยสัญลักษณ์และความหมายทีน่ ักวิชาการสังคมวิทยาและมานุ ษยวิทยาร่วมสมัยสนใจ 93 หากมองใน
91 92 93
92
Chartier, "Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories," 19. Chartier, "Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories," 20-21. Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 38-39, 47-48.
55
T
กรอบแนวคิดของโบรเดล วัฒนธรรมเป็ นส่วนทีเ่ ชื่อมโยงกับปจั จัยทางภูมศิ าสตร์และระบบทางเศรษฐกิจ ผ่านโครงสร้าง 3 ระดับ โดยระดับทีล่ กึ ทีส่ ุดคือ longue durée ซึง่ ปจั จัยทางชีวภาพและทางภูมศิ าสตร์ซง่ึ ส่งผลต่ อการตัง้ ถิ่นฐานของมนุ ษย์และโครงสร้างประชากรมีการเปลี่ยนแปลงช้าที่สุด ระดับกลางหรือ conjuncture คือระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเป็ นวงจร ส่วนระดับ พืน้ ผิวบนสุดคือเหตุการณ์ความเป็ นไปทางการเมือง โดยโบรเดลกล่าวว่าเป็ นระดับทีม่ คี วามผันผวนสูง ที่สุด โบรเดลมองว่าความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอยู่ในเวลาและโครงสร้าง ระดับชัน้ กลาง ซึง่ มักถูกเรียกว่าอารยธรรม (civilization) ซึง่ ส่วนของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอยู่ในส่วน นี้ ในงานของโบรเดลเองเห็นได้ชดั ว่าประวัตศิ าสตร์ mentalité และวัฒนธรรมมีพน้ื ทีล่ ดลงมาก โดยส่วน สําคัญเป็ นสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางวัตถุ 94 ซึง่ ส่วนหนึ่งเป็ นผลมาจากการศึกษาช่วงเวลายาว และพืน้ ทีก่ ว้างขึน้ ทําให้มองว่าระดับลึกที่สุดคือสิง่ ทีน่ ักประวัตศิ าสตร์ควรสนใจเพื่อจะสามารถทําความ เข้า ใจมิติท างวัฒ นธรรมได้ หากเปรีย บเทีย บกับ สํ า นั ก อานาลส์ ยุ ค ก่ อ นเห็น ได้ ว่ า โบรเดลและนั ก ประวัตศิ าสตร์ในรุ่นที่สองให้ความสําคัญกับปจั จัยทางกายภาพ เช่น ภูมศิ าสตร์ เศรษฐกิจ สังคมและ ประชากรเป็ นสําคัญ 95 สนใจประเด็นด้านจิตวิทยาสังคมและ mentalité ลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่มองว่า ประวัตศิ าสตร์สงั คมและเศรษฐกิจมีความสําคัญกว่าด้านอื่นๆ นักประวัตศิ าสตร์ในรุ่นนี้บางคนหันไปใช้ ข้อ มูล เชิง ปริมาณเพื่อ อธิบายถึง ความเปลี่ยนแปลงทางสัง คมและเศรษฐกิจ นํ ามาวิเ คราะห์ใ บปลิว การเมือง กฎหมาย พินัยกรรมและภาพ ฯลฯ เพื่อศึก ษาทัศนคติของผู้ค นในสังคม แต่ ก็มงี านศึกษา ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในเชิงปริมาณซึ่งสนใจเรื่องหนังสือและการอ่ านออกเขียนได้ ดังที่รวมอยู่ใน Livre et societe dans la france du xviiie siecle (1965)96 ทีร่ วมบทความศึกษาประวัตศิ าสตร์หนังสือ ประเภทต่ างๆ ในเชิงปริมาณ ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมเชิงปริมาณดังกล่าวนับได้ว่าเป็ นความท้าทาย อย่ า งมาก แม้นั ก ประวัติศ าสตร์ใ นกลุ่ ม นี้ ห ลายท่ า นจะสนใจประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมผ่ า นแนวคิด mentalité แต่ส่วนใหญ่กย็ อมรับว่าเป็ นรองประวัตศิ าสตร์สงั คมและเศรษฐกิจ
F
93
D
R
A
94
94
Fernand Braudel, On History (Chicago: University of Chicago Press, 1980), 27, 32. โดยโครงสร้างดังกล่าวปรากฏอยู่ใน La Méditerranée et le Monde Méditerranéen a l'époque de Philippe II (1949) 95 งานสําคัญๆได้แก่ Emmanuel Le Roy Ladurie, Les Paysans De Languedoc (1966), Pierre Goubert, Beauvais et le Beauvaisis de 1600 à 1730 : contribution à l'histoire sociale de la France du XVIIe siècle (1958); Bernand Cousin, Le miracle et le quotidien: Les ex voto provençaux images d'une société, 1983. 96 Geneviève Bolléme and others, Livre Et Société Dans La France Du Xviiie Siècle (Paris: Mouton, 1965).
56
Histoire des Mentalité และการกลับมาของประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในฝรังเศส ่
T
ปญั หาหรือข้อวิจารณ์สาํ คัญทีม่ ตี ่อประวัตศิ าสตร์สาํ นักอานาลส์เป็ นผลมาจากความสําเร็จภายใต้ การนํ าของโบรเดลและวิธกี ารเชิงปริมาณ ที่มขี ้อจํากัดในการทําความเข้าใจความขัดแย้ง วิกฤตและ ความผันผวนในประวัตศิ าสตร์ โดยเฉพาะประวัตศิ าสตร์สมัยใหม่หรือหากเจาะจงคือการปฏิวตั ฝิ รังเศส ่ ซึง่ เป็ นประเด็นสําคัญเรื่อยมา เห็นได้ว่ากรอบเวลาการวิเคราะห์แบบ longue durée และการมองหา สภาวะเสถียรมีข้อจํากัด โดยเฉพาะอย่างยิง่ หากเปรียบเทียบทัศ นะแบบมาร์ก ซิสม์ ทําให้กรอบการ วิเคราะห์ดงั กล่าวไม่เป็ นที่นิยมสําหรับนักประวัตศิ าสตร์ท่ศี กึ ษาหลังปี 1789 ทําให้ในทศวรรษที่ 1970 นัก ประวัติศ าสตร์ใ นรุ่น ที่ส าม เริม่ วิจ ารณ์ สํ านัก ตนเองและพยายามฉี ก ตัว ออกจากกรอบ 97 นั ก ประวัตศิ าสตร์จาํ นวนหนึ่งหันมาทํางาน histoire des mentalités และเป็ นประวัตศิ าสตร์ “the third level” ทําให้แนวคิดโครงสร้าง 3 ระดับ กรอบเวลาและปจั จัยของ longue durée ที่โบรเดลเสนอไว้ลด ความสํ า คัญ ลงมาก หัน มาให้ค วามสํ า คัญ กับ “ความรู้ส ึก นึ ก คิด ” อีก ทัง้ ให้ค วามสํ า คัญ กับ มิติท าง วัฒนธรรมมากขึน้
F
9 6
D
R
A
อิทธิพลของมานุ ษยวิทยาที่มตี ่อความเข้าใจวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์ปรากฏในงานของทัง้ โบลคและเฟบวร์ แต่ในรุ่นที่ 3 ที่สนใจวัฒนธรรมเห็นได้ถงึ อิทธิพลของสาขามานุ ษยวิทยาที่ชดั เจนมาก ขึน้ โดยเฉพาะการให้ความสําคัญประเด็นทางด้านญาณวิทยาแบบมานุ ษยวิทยา นักประวัตศิ าสตร์เริม่ มองอดีตว่าเป็ นอีกวัฒนธรรมหนึ่ง การทําความเข้าใจจึงต้องอาศัยความเข้าใจความรูส้ กึ นึกคิดของผูค้ น ในอดีต (empathy) โดยเฉพาะผูค้ นระดับล่างทางสังคม เนื่องจากหลักฐานทีเ่ ป็ นข้อเขียนของคนกลุ่มซึง่ สะท้อนความคิดของผูค้ นกลุ่มนัน้ โดยตรงมีอยู่น้อย ทําให้ต้องพัฒนาวิธกี ารและกรอบแบบใหม่ ทีอ่ าศัย หลักฐานและวิธกี ารอ่านหลักฐานทีแ่ ตกต่างจากประวัตศิ าสตร์การเมือง ขณะทีส่ ่วนหนึ่งพัฒนาวิธกี ารเชิง ปริมาณซึง่ ประสบความสําเร็จสูงในการศึกษาประวัตศิ าสตร์สงั คมและเศรษฐกิจ แต่ในมิตทิ างวัฒนธรรม ั ่ งกฤษและอเมริกานัก เนื่องจากเห็นว่ามิติ กลับไม่เป็ นทีย่ อมรับจากนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมจากฝงอั ทางความหมายมีความสําคัญในการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม และการศึกษาเชิงปริมาณไม่อาจทํา ความเข้าใจความสลับซับซ้อนของวัฒนธรรมได้ดพี อ 98 97
97
Lynn Hunt, "French History in the Last Twenty Years: The Rise and Fall of the Annales Paradigm," Journal of Contemporary History 21, no. 2 (1986): 214.
98
Robert Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History (Harmondsworth: Penguin, 1985), 258; Robert Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 1st ed. ed. (New York: Norton, 1990), 290-291.
57
การเปลี่ย นทิศ ทางของประวัติศ าสตร์สํ า นั ก อานาลส์เ ห็น ได้จ ากวิธ ีก ารที่เ ปลี่ย นไปของนั ก ประวัตศิ าสตร์อย่างเอ็มมานู เอล ลี รัว ลาดูร ี (Emmanuel Le Roy Ladurie) จากการศึกษาเชิงปริมาณ แบบสังคมวิทยาใน Les Paysans de Languedoc (1966) 99 ซึง่ ทําความเข้าใจวัฒนธรรมของชาวนาในล็ องก์ดอ็ กตามกรอบ longue durée การเปลีย่ นทิศทางของ histoire des mentalités เห็นชัดในงานอย่าง Montaillou ทีต่ พี มิ พ์ในปี 1975 และ Carnival in Romans ในปี 1979100 ซึง่ เป็ นการเปลีย่ นทิศทางและ วิธกี ารทีห่ ลุดจากกรอบเวลาและการทําความเข้าใจโครงสร้างแบบโบรเดล งานสองชิน้ หลังเป็ นการศึกษา เชิงคุณภาพแบบมานุ ษยวิทยาที่เน้นพืน้ ที่เล็กและเน้นเหตุการณ์ ซึง่ เปิ ดให้เห็นถึงความรูส้ กึ นึกคิดและ ค่านิยมของผูค้ นผ่านการสอบสวนศาลศาสนาช่วงเวลาราว 30 ปี ลี รัว ลาดูรใี ช้บนั ทึกการสอบสวนศาล ศาสนาของชาวหมู่บ้านมองเทลลู (Montaillou) ทางตอนใต้ของฝรังเศส ่ โดยศึกษาจากบันทึก การ สอบสวนชาวบ้านจํานวน 25 คน ซึ่งประมาณร้อยละ 10 ของประชากรในหมู่บา้ น โดยอ่านหลักฐาน ดังกล่าวในลักษณะเหมือนบันทึกภาคสนามของนักมานุ ษยวิทยา เพื่อทําความเข้าใจชีวติ ความความ เป็ นอยู่ ธรรมเนียมประเพณีและความรู้สกึ นึกคิดในเรื่องต่ างๆ เช่น มโนทัศน์ ด้านเวลาและพื้นที่ โลก ธรรมชาติ ครอบครัว วัย เด็ ก เพศสภาพและความตาย แนวทางศึ ก ษาและประเด็ น ศึ ก ษาแบบ มานุษยวิทยาเป็ นแนวทางการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีเ่ ป็ นทีน่ ิยมในหมูน่ กั ประวัตศิ าสตร์รุ่นนี้
F
T
98
D
R
A
ความสนใจดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในงานที่อาจเรียกได้ว่าเป็ นมานุ ษยวิทยาประวัตศิ าสตร์สมัย กลางของจาร์ค เลอก็อฟ (Jacques Le Goff) และจอร์จ ดูบี (Georges Duby) ซึง่ ทัง้ สองเป็ นคนสําคัญใน การศึกษา histoire des mentalités แม้ว่าเลอก็อฟค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการใช้คําดังกล่าว โดยสําหรับ งานศึกษาของตนใช้วลี “มานุ ษยวิทยาเชิงประวัตศิ าสตร์” เลอก็อฟยังสนใจช่วงเวลายาวนานและพื้นที่ ใหญ่กล่าวคือสมัยกลางของยุโรปตะวันตก ใน La Naissance du purgatoire (1981; The Birth of Purgatory) เลอก็อฟศึกษาภาพแทนของชีวติ หลังความตายโดยอธิบายว่ามีการก่อรูปทางความรูส้ กึ นึก คิดอย่างไร ขณะทีด่ ูบเี ริม่ ต้นทีป่ ระวัตศิ าสตร์สงั คมและเศรษฐกิจแต่ในเวลาต่อมาสนใจศึกษาวัฒนธรรม สมัยกลางยุครุ่งเรือง โดยเฉพาะมโนทัศน์ ทางสังคม เช่น ใน Les trois ordres ou L'imaginaire du féodalisme (1978; The Three Orders: Feudal Society Imagined) รวมถึงครอบครัวและเพศสภาวะ
99 100
ตีพมิ พ์เป็ นภาษาอังกฤษภายใต้ชอ่ื The Peasants of Languedoc ในปี 1974
Emmanuel Le Roy Ladurie, Montaillou, village occitan de 1294 à 1324 (1975) ตีพมิ พ์เป็ นภาษาอังกฤษ Emmanuel Le Roy Ladurie, Montaillou, the Promised Land of Error (New York: Vintage Books, 1979).
58
ในงานหลายชิ้น และมีงานด้านประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะด้วย 101 ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมช่วงสมัยกลางและ ช่วงต้นสมัยใหม่ของนักประวัตศิ าสตร์รนุ่ ทีส่ ามนี้ มีส่วนหนึ่งทีป่ ระเด็นศึกษาไปในทางมานุ ษยวิทยาอย่าง ชัด เจน เช่ น ครอบครัว เพศสภาวะ มโนทัศ น์ ทางสัง คม ความตายและเวลา อีกส่ ว นหนึ่ง สนใจเรื่อ ง ประวัตศิ าสตร์หนังสือ การอ่านและวัฒนธรรมประชาชน (popular culture) โดยเฉพาะกลุ่มทีส่ นใจช่วง ต้นสมัยใหม่ท่สี บื ต่อแนวทางจากเฟบวร์ สิง่ ที่น่าสังเกตของนักประวัตศิ าสตร์กลุ่มนี้บางคนคือเริม่ มีนัก ประวัติศาสตร์ท่หี นั มาสนใจสังคมและวัฒนธรรมในช่ วงก่ อ นปฏิว ตั ิฝรังเศสซึ ่ ่งถือได้ว่าเป็ นพื้นที่ท่นี ัก ประวัตศิ าสตร์สาํ นักนี้มกั อยูห่ ่าง เช่นมิเชล โวเวลล์ (Michel Vovelle) และ ดาเนียล โรช (Daniel Roche) ซึง่ เปิดประตูให้กบั นักประวัตศิ าสตร์ในรุน่ ต่อมา อีกทัง้ มีการเปิ ดรับและมีปฏิสมั พันธ์กบั นักประวัตศิ าสตร์ นอกฝรังเศสมากขึ ่ ้น โดยเฉพาะด้านมานุ ษ ยวิทยาและความสนใจต่ อ วัฒนธรรมประชาชน (popular culture) ซึ่งเป็ นพื้นที่ใหญ่มากในโลกวิชาการอังกฤษและอเมริกา ทําให้ความสนใจด้านประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมทีเ่ คยมีอยูท่ ช่ี ายขอบในสมัยโบรเดลกลับมามีทท่ี างมากขึน้
F
T
10 0
D
R
A
เนื่องจากสํานักอานาลส์รุ่นที่ 3 ไม่มผี ู้นําทีม่ บี ทบาทโดดเด่นอย่างทีโ่ บรเดลเคยเป็ น อีกทัง้ ไม่ม ี นักประวัตศิ าสตร์ท่านใดทีพ่ ยายามสถาปนาระเบียบวิธหี รืออธิบายกรอบวิธกี ารอย่างเป็ นระบบอย่างที่ โบรเดลทําในโครงสร้าง 3 ระดับ เนื่องจากวิธแี ละขอบเขตการศึกษาทางประวัตศิ าสตร์ขน้ึ กับปจั เจกและ ประเด็นศึกษาสูง อีกทัง้ ยังขึ้นกับความเชี่ยวชาญส่วนบุคคลและหลักฐาน อย่างไรก็ดพี อเห็นได้ถึง ลักษณะร่วมซึ่งสืบทอดแนวทางจากนักประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์รุ่นแรก กล่าวคือ histoire des mentalités ให้ความสําคัญกับความรูส้ กึ นึกคิดทีม่ รี ่วมกันของสังคมและชีช้ ดั ว่าไม่มปี จั เจกใดเป็ นเจ้าของ ซึง่ มีทงั ้ สิง่ อยู่ในสํานึกรูแ้ ละอยู่นอกสํานึกรูข้ องผูค้ น histoire des mentalités จึงเป็ นการทําความเข้าใจ ระบบโครงสร้างหรือความสัมพันธ์ของความรูส้ กึ นึกคิดต่างๆ กรอบแนวคิดว่าด้วย outillage mental ซึง่ มีอิทธิพลอย่างมากต่ อนักประวัติศาสตร์สํานักอานาลส์รุ่นที่สาม ก็ไม่ได้มคี วามชัดเจนนักในแง่ท่เี ป็ น กรอบหรือทฤษฎีทางสังคมและวัฒนธรรม ต่างจากแนวคิดของโบรเดลที่เป็ นระบบกว่ามาก ความโดด เด่นและนวัต กรรมอยู่ท่คี วามหลากหลายในด้านระเบียบวิธ ี กรอบการวิเคราะห์ ขอบเขตและการใช้ หลักฐานของนักประวัตศิ าสตร์แต่ละท่าน ขึน้ กับความเชีย่ วชาญและหลักฐาน ทัง้ พืน้ ทีเ่ ล็กและพืน้ ทีก่ ว้าง ช่วงเวลาสัน้ มากและยาวมาก วัฒนธรรมระดับบนและล่าง วัฒนธรรมมุขปาฐะและวรรณกรรม จาร์ค เลอ ก็อฟชีใ้ ห้เห็นถึงจุดแข็งของลักษณะดังกล่าว คือเป็ นประวัตศิ าสตร์ทท่ี ําความเข้าใจ “ความกํากวม” ได้ด ี เนื่องจากนักประวัตศิ าสตร์ต้องก้าวข้ามสาขาประวัตศิ าสตร์ไปสัมผัสกับศาสตร์ดา้ นอื่นๆ ทําให้สามารถ 101
มีการออกชุดหนังสือรวมบทความ ได้แก่ Philippe Ariès and Georges Duby, Histoire de la vie privée (5 vols, 1985-87); Georges Duby and Michelle Perrot, Storia delle donne in Occidente (4 vols, 1990-91)
59
เข้าสู่พ้นื ที่ทป่ี ระวัตศิ าสตร์แบบจารีตไม่เคยสนใจ อีกทัง้ สนใจจุดพบกันของขัว้ ตรงข้ามระหว่าง “ปจั เจก กับหมู่ชน ช่วงเวลาทางประวัตศิ าสตร์ยาวนานกับการดํารงชีวติ ประจําวัน สิง่ ที่เป็ นเจตนาและสิง่ ที่อยู่ นอกสํานึก”102 ความหลายหลายและแตกต่างทางวิธกี ารเป็ นทีม่ าของคําวิจารณ์อนั แรกที่ว่า ไม่เห็นประโยชน์ ของการจะเรียกรวมว่า histoire des mentalités เพราะต่างคนต่างมีวธิ กี ารเป็ นของตนเอง เป็ นผลมาจาก การไร้ซง่ึ แนวคิดการวิเคราะห์ทเ่ี ป็ นระบบและอธิบายพลวัตทางวัฒนธรรมทีค่ ลุมเครือไม่เคยก่อรูปทาง ทฤษฎีหรือแนวคิดว่าด้วยวัฒนธรรม 103 แม้ว่าจะพอเห็นถึงอิทธิพลจากแนวคิดทฤษฎีทางสังคมวิทยา และวิธที างมานุ ษยวิทยาซึ่งก็แตกต่างกันไปตามงานแต่ละชิ้น อีกทัง้ เป็ นเพียงการหยิบยืมแนวคิดหรือ เศษเสี้ยวแนวคิดจากหลายสาขามาปนกันอย่างคลุมเครือไร้ระบบและไม่มแี ก่นสารร่วมกัน ขาดความ ชัดเจนและเป็ นกรอบวิธที ห่ี ยิบเล็กผสมน้อยมาจากหลายแหล่ง อีกทัง้ คําว่า mentalités ไม่เคยถูกใช้หรือ อธิบายในสถานะที่เป็ นแนวคิด ทฤษฎีหรือกรอบวิธ ี ทําให้ถูกวิจารณ์ ว่าเป็ นแนวทางการศึกษาที่ขาด ระเบียบวิธแี ละกรอบการวิเคราะห์ทแ่ี น่ นอนและเป็ นระบบ เพราะใครจะศึกษาอะไรและอย่างไรก็ได้ โดย กระแสวิจารณ์น้มี าจากสังคมศาสตร์โดยรวม แต่กระแสวิจารณ์หลักจากสาขาประวัตศิ าสตร์โจมตีจุดด้อย ของลักษณะร่วมทีก่ ล่าวไปแล้ว
A
F
T
102
D
R
ข้อวิจารณ์สําคัญอีกประการหนึ่งคือ แม้ว่า histoire des mentalités แสดงถึงความพยายามหนี จากกรอบ longue durée ของโบรเดล แต่ก็หนีไม่พ้นการมองวัฒนธรรมว่าอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งหรือ เปลีย่ นแปลงช้า โดยมองว่า mentalités เป็ นเหมือนกับพันธนาการทีป่ จั เจกไม่อาจหลุดไปได้ไม่ต่างจาก การที่โ บรเดลมองสภาวะแวดล้อ มทางกายภาพนัก มองว่า วัฒ นธรรมและความคิด ทัศ นคติม ีค วาม สอดคล้องกันและลงรอยกันในสังคม อีกทัง้ ยังมองวัฒนธรรมว่าเป็ นระบบปิ ดกล่าวคือการวิเคราะห์มอง การรับ อิ ท ธิพ ลจากภายนอกและการส่ ง ผ่ า นทางวัฒ นธรรมระหว่ า งองค์ ป ระกอบภายในได้ น้ อ ย ตัว อย่างเช่ น Montaillou ซึ่ง ถือ ว่าเป็ นงานที่ก้าวข้ามแนวทางของโบรเดลในหลายด้าน ก็ยงั ให้ ความสําคัญกับพลวัต ความเปลี่ยนแปลงและความขัด แย้งทางความคิด และวัฒนธรรมน้ อ ย ขาดวิธ ี วิเคราะห์ในเชิงกลไกหรือองคาพยพทีเ่ กี่ยวข้องกับความเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม รวมถึงข้อจํากัดใน
102
Jacques Le Goff and Pierre Nora, Constructing the Past : Essays in Historical Methodology (Cambridge,: Cambridge University Press, 1985), 167-168. (ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในปี 1974) 103
Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 215.
60
การทําความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม 104 รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม ระดับต่างๆ จากตัวอย่างสมัยกลางเห็นได้ถงึ ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและรูปแบบทางสังคมทําให้ ระบบความคิดและพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของคนแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างสูง นักประวัตศิ าสตร์สมัย กลางจึง มัก มองว่ าการแบ่ ง แยกหรือ ความแตกต่ างทางวัฒนธรรมเป็ นภาพสะท้อ นการแบ่ ง แยกหรือ ระดับชัน้ ทางสังคม รวมถึงการชี้นําทางวัฒนธรรมและการตามทางวัฒนธรรมในลักษณะบนลงล่าง ซึ่ง การมองช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมและการชี้นําทางวัฒนธรรมดังกล่าวถูกวิจารณ์ค่อนข้างมาก ว่ามอง วัฒนธรรมทีค่ ่อนข้างคงทีแ่ ละมองไม่เห็นพลวัตในทางทีส่ วนทางกัน คําวิจารณ์ดงั กล่าวมาจากหลายฝงั ่ 103
T
ทัง้ จากนักประวัตศิ าสตร์สาํ นักอานาลส์รุ่นหลัง 105 จากนักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ จากจุลประวัตศิ าสตร์ ั นธรรมจากสหรัฐด้วย 107 จากอิตาลี (microhistory) 106 และนักประวัตศิ าสตร์วฒ 104
106
D
R
A
F
เห็นได้ว่างานของนักประวัตศิ าสตร์นอกสํานักอย่างนอร์เบิรต์ เอเลียส (Norbert Elias), ฟิ ลปิ ป์ อารีส์ (Philippe Aries) และมิเชล ฟูโก (Michel Foucault) ค่อนข้างโดดเด่นในด้านนี้กว่ามาก อีกทัง้ งาน ของนักประวัตศิ าสตร์ทงั ้ 3 ท่านนี้ มีลกั ษณะสําคัญ 2 ประการทีโ่ ดดเด่นกว่า histoire des mentalités ในช่วงเวลาเดียวกัน ประการแรกคือเห็นความสําคัญต่อการเปลีย่ นผ่านหรือการก่อรูปของชุดความรูส้ กึ นึกคิดและวัฒนธรรม และประการที่สอง การสนใจศึกษาปรากฏการณ์ท่คี าบเกี่ยวมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็ นพื้นที่ท่ี histoire des mentalités มักจะอยู่ห่างๆ อีกทัง้ ยังเห็นได้ถงึ ความหลากหลายใน ประเด็นศึกษา วิธกี าร ขอบเขตและการใช้หลักฐานที่หนั ไปในทิศทางของมานุ ษยวิทยามากขึน้ ในช่วง ปลายทศวรรษที่ 1970 โดยประวัตศิ าสตร์สงั คมเชิงปริมาณทีเ่ คยเป็ นศูนย์กลางลดบทบาทลง เช่น ใน Century of Childhood อารีสพ์ ยายามอธิบายด้วยทฤษฎีพฒ ั นาการทางอารยธรรมด้วยพัฒนาการของ ปจั เจกที่เปลี่ยนไปตามมโนทัศน์ ว่าด้วยเวลาและอายุขยั ขณะที่เอเลียสใช้ทฤษฎีพฒ ั นาการทางอารย ธรรมโดยศึกษาพฤติก รรมโดยอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงทางในเชิง จิตวิทยาภายในคู่ขนานไปกับ
104 105
Burke, Varieties of Cultural History, 170-171.
Roger Chartier, Cultural History : Between Practices and Representations (Cambridge: Polity in association with Blackwell, 1988). 106
Carlo Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller (Baltimore: Johns Hopkins University Press, 1980), xx-xxiv.
107
Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History, 291.
61
ความเปลีย่ นแปลงของโครงสร้างทางชนชัน้ ภายนอก โดยอธิบายในแง่กลไกทางจิตภายในและกลไกทาง สังคมภายนอก 108 107
T
ส่วนฟูโกศึกษาภาพสะท้อนอันเป็ นลบของอารยธรรมโดยมองในสิง่ ทีล่ ม้ เหลวในการเข้ามามีส่วน ในอารยธรรม ในแง่ของรหัสหรือกลเกมในการประกอบสร้างทางความรูส้ กึ นึกคิดถึงความมีและไม่มอี ารย ธรรมเหล่านัน้ โดยรหัสทางความรูเ้ หล่านี้เป็ นส่วนสําคัญในการสร้างมโนทัศน์ต่างๆ โดยฟูโกเรียกรหัส เหล่านี้ว่า “วาทกรรม” (discourse) โดยแพทริก ฮัตตัน (Patrick Hutton) ชีว้ ่าแนวคิด “วาทกรรม” ของ ฟูโกมีส่วนคล้ายกับแนวคิด “outillage mental” ของเฟบวร์อยู่ในแง่ทเ่ี ป็ นการศึกษาระบบและอุปกรณ์ ทางความรูส้ กึ นึกคิด แต่ขอ้ แตกต่างสําคัญคือเฟบวร์ทํารายการ “outillage mental” เพื่อให้ทราบถึง ข้อจํากัดและศักยภาพของเครื่องมือในแต่ ละยุค ขณะที่ฟูโกสํารวจ “discourse” เพื่อทําความเข้าใจ สัณฐานและรหัสที่มากมายและซับซ้อน 109 นอกจากนี้ความสนใจต่อวัฒนธรรมหรือความรูส้ กึ นึกคิดที่ เป็ น ชายขอบที่ฟู โ กสนใจ ใกล้เ คีย งกับความสนใจของนัก ประวัติศ าสตร์ใ นรุ่น เดียวกันอีก หลายคน โดยเฉพาะประเด็นว่า ด้ว ยทัศ นะต่ อ ความตาย การกระทํา ที่เ ป็ นอาชญากรรมและความรุน แรงทาง การเมือ งในยุค แสงสว่างและสมัยปฏิว ตั ิฝ รังเศสในวั ่ ฒ นธรรมชนชัน้ ล่ าง เพื่อ ทําความเข้า ใจสภาวะ พื้นฐานของมนุ ษย์ท่เี กี่ยวข้องกับชีวติ และความตายซึ่งเป็ นประเด็นประเด็นสนใจทางมานุ ษยวิทยามา อย่างต่อเนื่อง 110 ข้อแตกต่างสําคัญของประเด็นศึกษาระหว่างมิเชล ฟูโกกับ histoire des mentalités ที่ สนใจทัศนะต่อความตาย อาชญากรรมและเรือ่ งเพศ ซึง่ รวมถึงอารีสด์ ว้ ยคือ ขณะทีน่ ักประวัตศิ าสตร์ส่วน ใหญ่ มคี วามสนใจและประเด็นคําถามในลักษณะมานุ ษยวิทยากล่าวคือศึกษาทัศนคติต่อสิง่ เหล่านัน้ ที่ แตกต่ างจากที่เป็ นอยู่ใ นสัง คมสมัยใหม่ ทว่าฟู โกสนใจศึกษาเพื่อถอดรหัสความเป็ นอารยของสังคม สมัย ใหม่ ผ่ า นวาทกรรม คงกล่ า วได้ย ากว่ า ฟู โ กมีอิท ธิพ ลในทางตรงในแง่ ว ิธ ีก ารต่ อ ประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรมในฝรังเศส ่ แต่อาจกล่าวได้ว่าส่งผลให้เกิดความสนใจในประเด็นศึกษาตัง้ แต่ เรื่องความเป็ น ชายขอบ เพศสภาพและร่างกาย 111 รวมถึงมีส่วนให้นักประวัตศิ าสตร์ตระหนักถึงประเด็นทางด้านญาณ วิทยาที่ฟูโกท้าทายมากขึน้ ส่วนนักประวัตศิ าสตร์ทร่ี บั อิทธิพลจากฟูโกมากกว่าเป็ นนักประวัตศิ าสตร์
R
109
A
F
10 8
D
110
108
Patrick H. Hutton, "The History of Mentalities: The New Map of Cultural History," History and Theory 20, no. 3 (1981): 244245, 247-248. 109 Hutton, "The History of Mentalities: The New Map of Cultural History," 251-252. 110 111
ดู Darnton, The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History.
กรณีตวั อย่างเช่นหนังสือรวมบทความประวัตศิ าสตร์ร่างกายของนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสชุ ่ ด Histoire du corps (Alain Corbin et al. Histoire Du Corps. 3 vols. Paris: Seuil, 2005-2006.) ทัง้ 3 เล่มซึ่งเป็ นโครงการต่อเนื่องของประวัตศิ าสตร์สงั คมฝรังเศสจาก ่ A History of Women และ a History of Private Life กลับแทบไม่ได้กล่าวถึงงานของฟูโกเลย
62
ั่ จากฝงอเมริ กาซึ่งก็รบั แต่ส่วนเล็กๆ เท่านัน้ หากเปรียบเทียบกับสังคมศาสตร์สาขาอื่น ประเด็นวิจารณ์ สําคัญต่องานของฟูโกทีท่ ําให้มปี ญั หาต่อวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์คอื ฟูโกเห็นว่าความเป็ นจริงทาง ประวัตศิ าสตร์เป็ นสิง่ ที่ถูกประกอบสร้างจากวาทกรรม อีกประเด็นหนึ่งคือฟูโกปฏิเสธการวิเคราะห์หา สาเหตุ จากผลลัพธ์ อย่างไรก็ดแี นวคิดว่าด้วยวาทกรรมส่งผลต่ อความสนใจประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม ค่อนข้างสูง
T
นักประวัติศาสตร์มาร์กซิ สม์กบั วัฒนธรรม : เอ็ดเวิ รด์ ทอมป์ สัน
A
F
กรอบวิธคี ดิ แบบมาร์กซิสม์มองว่าความจําเป็ นทางกายภาพและการแย่งชิงการเข้าถึงทรัพยากร เป็ นสิง่ ทีผ่ ลักดันพลวัตทางประวัตศิ าสตร์ โดยสังคมในทุกแง่มมุ รวมถึงจิตสํานึกของมนุ ษย์ ความคิดและ วัฒนธรรมถูกกําหนดโดยสภาวะทางวัตถุซง่ึ รวมถึงสัณฐานของระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการ ผลิต วัฒนธรรมจึงไม่ได้มสี ถานะเป็ นตัวกระทําหรือมีบทบาทในพลวัตทางประวัตศิ าสตร์มากนัก แม้ว่า ประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์จะไม่ได้ช่อื ว่าเป็ นประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมเนื่องจากกรอบที่กล่าวมา แต่อาจ กล่าวได้ว่าประวัตศิ าสตร์สงั คมมาร์กซิสม์บางชิน้ มีส่วนสําคัญในการเปิ ดประตูส่คู วามสนใจมิตวิ ฒ ั นธรรม ในแนวทางใหม่ท่ามกลางนักประวัตศิ าสตร์ ในช่วงทศวรรษที่ 1950 ก่อนที่ประเด็นเรื่องวัฒนธรรมจะ ได้รบั ความสนใจ นักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ในอังกฤษสนใจประวัตศิ าสตร์แรงงาน ในแง่ของวิถแี ละ พัฒนาการของการรวมตัวในเชิงองค์กรแรงงานในการเข้าระบบอุตสาหกรรมและการเติบโตของระบอบ ทุนนิยม ศึกษาการต่อสู้ ต่อรอง ความล้มเหลวและการปรับตัว ทัง้ ในมิตทิ างเศรษฐกิจ การเมือง และทาง สังคม 112
R
111
D
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 ยังเป็ นช่วงเวลาที่ทฤษฎีมาร์กซิสม์ถูกวิจารณ์ว่าแข็งทื่อเกินไป โดยวง วิช าการฝ่ ายซ้า ยหัน ไปหาทฤษฎีม าร์ก ซิส ม์ท่ีถู ก ทบทวนจากทัง้ จากสํ า นัก แฟรงค์เ ฟิ ร์ต (Frankfurt School) และข้อเขียนของอันโตนิโอ แกรมซี (Antonio Gramsci) ทีม่ าจากช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 แนวคิดทางประวัตศิ าสตร์ท่เี ชื่อว่ารากฐานทางเศรษฐกิจเป็ นที่มาของวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่าง มาก โดยเฉพาะการนํ างานของแกรมซีมาอ่านใหม่ แกรมชีเชื่อว่าชนชัน้ ล่างทางสังคมไม่อาจงัดง้างกับ การกดขีข่ องชนชัน้ ปกครองจากการต่อสู้ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจเท่านัน้ แต่จะต้องมาจากการ
113
Antonio Gramsci, "Questions of Culture," in The Gramsci Reader : Selected Writings, 1916-1935, ed. David Forgacs(New York: New York University Press, 2000), 70-71.
63
ต่อสู้ทางความคิดและวัฒนธรรม 113 นิยามวัฒนธรรมของแกรมซีจงึ ต่างจากแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมแบบ นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบคลาสสิกมากที่ค่อนข้างจํากัดอยู่กบั ศิลปะและวรรณกรรม รวมถึงการ แสดงออก พฤติกรรมหรือสํานึกอันละเมียดละไม ดังทีป่ รากฏในงานของเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกา ทัง้ ยัง แตกต่างจาก Kulturgeschichte ทีแ่ ม้จะสนใจกับขนบประเพณีระดับล่างเหมือนกัน Kulturgeschichte ใน ใจความจริงแท้ของวัฒนธรรม “พืน้ บ้าน” อันกลมกลืนและไร้การปนเปื้ อนจากยุคใหม่ ขณะทีแ่ กรมซีมอง ว่าวัฒนธรรมเป็ นส่วนหนึ่งของการงัดง้างทางชนชัน้ ในบทความปี 1917 แกรมซีนิยามวัฒนธรรมอย่าง หลวมว่าเป็ น “ปฏิบตั กิ ารทางความคิด การพัฒนาให้ได้มาซึ่งหลักแนวคิด วิธกี ารเชื่อมโยงสาเหตุ กบั ผลลัพธ์ท่กี ลายเป็ นความเคยชิน … มนุ ษย์ทุกคนมีวฒ ั นธรรมอยู่ในตัวอยู่แล้วเพราะมนุ ษย์ใช้ความคิด ทุกคนเชื่อมโยงสาเหตุกบั ผลลัพธ์” 114 เห็นได้ว่ากรอบความคิดเรื่องวัฒนธรรมของแกรมซีมพี ลวัตสูง มากกว่าแนวคิดมาร์กซิสม์ทผ่ี ่านมามาก ทัง้ ยังมีนิยามของวัฒนธรรมทีค่ รอบคลุมกลุ่มคนระดับล่างของ สังคม แตกต่างจากนิยามวัฒนธรรมในช่วงเวลานัน้ ทีม่ องว่าวัฒนธรรมในลักษณะสอดคล้องกลมกลืนและ งดงามละเมียดละไม ซึง่ เป็ นนิยามของนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมยุคคลาสสิก
T
11 2
F
11 3
R
A
แนวคิด ของแกรมซีเ ป็ น อิท ธิพ ลสํ า คัญ ต่ อ นั ก วิช าการมาร์ก ซิส ม์อ ย่ า งเรย์ม อนด์ วิล เลีย มส์ (Raymond Williams) ทีไ่ ด้พฒ ั นานิยามและทฤษฎีวฒ ั นธรรมซึง่ ต่อมามีอทิ ธิพลอย่างสูงต่อสาขาเกิดใหม่ อย่างวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) และงานด้านประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม โดยนิยาม “วัฒนธรรม” ขึ้นมาใหม่ ใ นแนวทางแบบมานุ ษ ยวิทยา ดัง ที่ก ล่ า วว่ า “วัฒนธรรมเป็ น สิ่ง สามัญ ” และมนุ ษ ย์อ ยู่ใ น กระบวนการสร้างความหมายผ่านการทําความเข้าใจประสบการณ์ วัฒนธรรมจึงอยู่ในกระบวนการอันมี พลวัตสูง อยู่ท่ามกลางการต่อรองและขัดแย้งระหว่างสังคมกับปจั เจก ระหว่างวัฒนธรรมชัน้ สูงกับการ ดํารงชีวติ ประจําวัน 115 ขณะที่สํานึก ความคิดและวัฒนธรรมจากกลุ่มชนชัน้ ล่างก็มกี ารปรับใช้เพื่อต่อสู้ ต่อรองและงัดง้างกับวัฒนธรรมข้างบน วัฒนธรรมจึงไม่ได้เพียงก่อรูปมาตามรูปแบบทางสังคม แต่เป็ น ปจั จัยสําคัญในการก่อรูปของวัฒนธรรมเองและมีสถานะเป็ นตัวกระทํา การทําความเข้าใจความเชื่อมโยง อันซับ ซ้อ นของวัฒนธรรมเองจึง เป็ น หัว ใจสํา คัญ ของการศึก ษาด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่ างยิ่ง “วัฒนธรรมประชาชน” (popular culture) ในกรณีของวรรณกรรมซึง่ เป็ นผลผลิตทางวัฒนธรรมสะท้อนให้
D
11 4
113
Antonio Gramsci, "Questions of Culture," in The Gramsci Reader : Selected Writings, 1916-1935, ed. David Forgacs(New York: New York University Press, 2000), 70-71. 114
Antonio Gramsci, "Philantrophy, Good Will and Organization," in Culture : Critical Concepts in Sociology, ed. Chris Jenks(London: Routledge, 2003), 107. ดู Green, Cultural History, 48.
115
Raymond Williams, Resources of Hope : Culture, Democracy, Socialism (London: Verso, 1989), 4.
64
เห็นถึง ค่ านิ ยม มโนทัศ น์ ทางสัง คมและการสร้างความหมาย ไม่ไ ด้ข้นึ กับภาวะบีบรัด ทางวัต ถุ ห รือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจทัง้ หมด แต่เป็ นอิสระและสามารถเป็ นตัวกระทําทีส่ ําคัญทางประวัตศิ าสตร์ ใน Marxism and Literature วิลเลียมส์ใช้วลี “structures of feeling” เพื่อกล่าวถึงกรอบการแสดงออกของ ยุคสมัยซึง่ กว้างกว่าระบบคิดหลักที่ถูกสถาปนาขึน้ เป็ นที่ยอมรับของยุคสมัย แต่รวมถึงคุณค่า อารมณ์ ความรูส้ กึ นํ้าเสียงหรือเฉดสี (อุปมา) การรับรูแ้ ละประสบการณ์ดว้ ย 116 115
A
F
T
ความสนใจ “วัฒนธรรมประชาชน” ของนักประวัตศิ าสตร์ในทศวรรษที่ 1960 ยังเป็ นผลมาจาก ทัง้ ความไม่ พ อใจต่ อ นั ก ประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมในช่ ว งครึ่ง แรกของศตวรรษที่ใ ห้ค วามสํ า คัญ กับ วัฒนธรรมชัน้ สูงหรือวัฒนธรรมของชนชัน้ สูงเป็ นหลัก ซึง่ งานของฮุยซิงกา เอเลียสและนักประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมส่วนใหญ่เข้าข่ายดังกล่าว นักประวัตศิ าสตร์กลุ่มทีเ่ อนไปทางซ้ายจึงหันมาสนใจชนชัน้ ล่างทาง สังคม รวมถึงเป็ นทางเลือกจากนักประวัตศิ าสตร์สงั คมและวัฒนธรรมทีแ่ ม้จะสนใจข้อมูลและหลักฐานที่ เกี่ยวข้อ งกับกิจกรรมการผลิต แรงงานและชนชัน้ ล่ าง แต่ ก ลับ ละเลยศึก ษาวัฒนธรรมของคนกลุ่ ม ดังกล่าว อีกทัง้ ทศวรรษที่ 1960 เป็ นช่วงเวลาที่ “วัฒนธรรมศึกษา” (cultural studies) ในฐานะสาขาใหม่ เกิดขึน้ โดยหนึ่งในวาระสําคัญคือการวิจารณ์วงวิชาการทีใ่ ห้ความสําคัญกับวัฒนธรรมระดับสูง ภายใต้ การนํ าของ Centre for Contemporary Cultural Studies ทีม่ หาวิทยาลัยเบอร์มงิ แฮมทีส่ ่งอิทธิพลทาง วิชาการในวงกว้าง
R
นักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์อย่างเอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั (E. P. Thompson) จึงสนใจวัฒนธรรมซึง่ ในทฤษฎีของมาร์กซ์เป็ นเพียง “โครงสร้างส่วนบน” (“superstructure”) ซึ่งเป็ นผลมาจากรากฐานทาง เศรษฐกิจ ทอมป์สนั ปฏิเสธภาวะสัมพันธ์ระหว่างแรงผลักดันทางเศรษฐกิจกับการก่อตัวทางวัฒนธรรมใน ลักษณะทีต่ รงไปตรงมา โดยมองเห็นความสําคัญต่อวัฒนธรรมในลักษณะเดียวกับเรย์มอน วิลเลียมและ อัน โตนิ โ อ แกรมซี ซึ่ง เป็ นผลจาการทบทวนแนวคิด ของมาร์ก ซ์ท่ีแ ข็ง ทื่อ เกิน ไป ชนชัน้ ปกครองมี “อํานาจนํา” (hegemony) ไม่ได้มาจากการบังคับด้วยกําลัง อํานาจทางเศรษฐกิจหรือกฎหมายเท่านัน้ แต่ยงั มาจากการเชิญชวนทางวัฒนธรรมและความคิดด้วย 117 ซึง่ นักประวัตศิ าสตร์มองเห็นในหลายมิติ ของวัฒนธรรมและความคิด ใน The Making of English Working Class (1963) ทอมป์สนั ไม่ได้จาํ กัดแต่ เรือ่ งสังคมและชนชัน้ แต่ยงั สนใจแง่มมุ ทางวัฒนธรรมของชนชัน้ แรงงาน ความหมายและสัญลักษณ์ในแง่ ของปากท้อง อาหารการกินและจลาจลที่เกี่ยวกับปากท้อง ทัง้ ทอมป์สนั และวิลเลียมเป็ นหัวหอกทาง
D
116
116 117
Raymond Williams, Marxism and Literature (Oxford: Oxford University Press, 1977), 132-133. Burke. chapter 2, loc 530
65
แนวคิดที่สําคัญ ในการทบทวนและวิจารณ์ ทฤษฎีมาร์กซิสม์เดิม ที่เ ห็นว่ ารากฐานทางเศรษฐกิจเป็ น ตัวกําหนดสิง่ ต่างๆ (economic determinism) รวมจิตสํานึกของมนุ ษย์และวัฒนธรรม โดยทัง้ ทอมป์สนั และวิลเลียมปฏิเสธแนวคิดโครงสร้างฐานรากและโครงสร้างด้านบนแบบเดิม ชี้ว่าวัฒนธรรมเป็ นตัว กระทําทางโครงสร้างได้เช่นเดียวกับเศรษฐกิจ ทอมป์สนั เห็นว่าสํานึกและประสบการณ์ของผูค้ นรวมถึง ชนชัน้ ล่างสามารถเป็ นตัวกระทําทางความคิด ค่านิยมและวัฒนธรรมได้ 118 ซึ่งเห็นว่าวัฒนธรรมและ ความคิดมีส่วนสําคัญในการสร้างค่านิยมเพื่อการงัดง้างทางชนชัน้ 1 1 7
F
T
ใน The Making of English Working Class ทอมป์สนั แสดงให้เห็นว่าชนชัน้ แรงงานสามารถนํา ค่ า นิ ย มทางศาสนาและธรรมเนี ย มที่ส ืบทอดมาปรับแต่ ง และนํ ามาใช้เ พื่อ ช่ ว ยทํา ความเข้าใจความ เปลีย่ นแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจทีเ่ ข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 และใช้เพื่อเป็ นเครื่องมือ ในการต่อรอง ต่อสูแ้ ละรักษาไว้เพื่อผลประโยชน์ดา้ นปากท้อง ทอมป์สนั มองวัฒนธรรมชนชัน้ แรงงานใน แง่ของการงัดง้างกับกระแสวัฒนธรรมจากอํานาจทีพ่ ยายามกดทับ โดยประสบการณ์ต่างๆ ถูกจัดการ และทํ า ความเข้ า ใจผ่ า นสํ า นึ ก ทางชนชัน้ โดยเป็ น การเข้า รหัส ผ่ า นกลไกทางวัฒ นธรรม แฝงใน ขนบประเพณี ระบบคุณค่า แนวคิดและรูปแบบของสถาบันทางสังคม 119 โดยทอมป์สนั มองประสบการณ์ ของชนชัน้ แรงงานในบริบทของค่านิยมทางวัฒนธรรมในแบบมานุ ษยวิทยา กล่าวคือมองว่าวัฒนธรรมฝงั 118
A
รากอยู่กบั วิถชี วี ติ ประจําวัน ชีวติ ในครัวเรือน การทํางานและการพักผ่อนหย่อนใจ โดยกลไกหรือรหัส ทางวัฒนธรรมดังกล่าวรวมไปถึงสิง่ ที่ทอมป์สนั เรียกว่า “moral economy” ที่ธรรมเนียม ค่านิยมและ ความคิดเป็ นส่วนสําคัญในการทีช่ าวนายังชีพใช้เพื่อจัดการด้านราคาธัญพืชในตลาดและระบบเศรษฐกิจ ในศตวรรษที่ 18 ผ่ านการจลาจลเกิด ขึ้นอย่างแพร่ห ลาย 120 ส่ ว นสําคัญ อีก ประการหนึ่ ง ซึ่ง ทําให้ “ประวัติศ าสตร์จ ากเบื้อ งล่ า ง” ของทอมป์ ส ัน แตกต่ า งจากประวัติศ าสตร์สํ า นัก อานาลส์ค ือ การให้ ความสํ า คัญ กับ การเป็ น ตัว กระทํา ของคนระดับ ล่า งไม่ใ ช่ เ ป็ น เพีย งส่ ว นหนึ่ ง ของโครงสร้า ง โดยให้ ความสําคัญกับการกระทําของฝูงชนในฐานะการเป็ นขบวนการทีม่ สี ํานึกและเจตจํานงค์เป็ นอิสระ มีการ
D
R
1 1 9
118
E. P. Thompson, The Making of the English Working Class (London: Gollancz, 1980), 9-10; Williams, Marxism and Literature,
82.
119 120
Thompson, The Making of the English Working Class, 9-10.
E. P. Thompson, "The Moral Economy of the English Crowd in the Eighteenth Century," Past & Present, no. 50 (1971). ตีพมิ พ์ซ้าํ ใน Thompson, Customs in Common.
66
ให้ความหมายของการรับรูป้ ระสบการณ์และสามารถแสดงออกผ่านการกระทําต่างๆ ภายใต้พฤติกรรมที่ ดูรนุ แรงเช่นการก่อม็อบและจลาจลมีแบบแผนทางพิธกี รรมแฝงอยู่ 121 1 20
A
F
T
อีกแง่มมุ สําคัญในการศึกษาของทอมป์สนั ทีแ่ ตกต่างจากนักประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์คอื การ ให้ความสําคัญกับเหตุการณ์ ขณะทีโ่ ดยรวมนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสยั ่ งคงมองเหตุการณ์ว่าเป็ นเพียงสิง่ บนพืน้ ผิวตามแนวทางของโบรเดล กล่าวคือเป็ นผลจากความเปลีย่ นแปลงของโครงสร้างระดับลึก แม้ว่า กระทังอย่ ่ าง Montaillou ของลี รัว ลาดูรจี ะให้ความสําคัญกับการสอบสวนของศาสนาในช่วงเวลาสัน้ แต่ ก็ไม่ได้มองว่าเป็ น “เหตุการณ์” ในตัวของมันเอง ไม่ได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินไปของเหตุการณ์ แต่ เปรียบได้เป็ นช่วงเวลาของการสัมภาษณ์หรือสอบถามเรื่องชีวติ ประจําวัน ขณะที่ทอมป์สนั สนใจความ เป็ นไปของการจลาจลในฐานะของ “เหตุการณ์ทางวัฒนธรรม” ซึ่งทอมป์สนั เชื่อว่าเป็ นเหตุการณ์ทเ่ี ป็ น สาเหตุ ส่ ง ผลให้เ กิด ความเปลี่ย นแปลงทางสัง คม ทางการเมือ งและทางเศรษฐกิจ ในระดับ ท้อ งถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิง่ ส่งผลในการกําหนดราคาธัญพืชในอาณาบริเวณนัน้ ๆ แม้นกั ประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ ยังคงให้ความสําคัญกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและชนชัน้ แต่มองว่าจิตสํานึก ความคิดและวัฒนธรรม ไม่ ไ ด้ถู ก กํ า หนดจากความจํา เป็ น ทางวัต ถุ อ ย่ า งตายตัว และที่สํ า คัญ การศึก ษาให้ค วามสํ า คัญ กับ เหตุการณ์ในระดับทีค่ ่อนข้างสูง ทอมป์สนั มีอทิ ธิพลต่อนักประวัตศิ าสตร์รุ่นหลังอย่างมากผ่านการรวมกลุ่มของนักประวัตศิ าสตร์ กลุ่ม History Workshop ทีก่ ่อตัง้ ขึน้ ในช่วงนัน้ 122 ทําให้นกั ประวัตศิ าสตร์บางส่วนสนใจวัฒนธรรม “จาก มุมมองเบือ้ งล่าง” (history from below) มากขึน้ และให้ความสําคัญกับพลวัตและการงัดง้างระหว่างชน ชัน้ มากขึน้ แม้ว่างานของทอมป์สนั อาจไม่เข้าข่ายเป็ นประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม แต่ได้เปิ ดประตูให้นัก ประวัติศ าสตร์มาร์ก ซิส ม์แ ละนัก ประวัติศ าสตร์ส งั คมมองเห็น ความกํ ากวมและซับซ้อ นของมิติทาง วัฒนธรรมมากขึน้ เนื่องจาก The Making of the English Working Class ชีใ้ ห้เห็นว่าการกดขีท่ าง การเมืองและขูดรีดของระบอบทุนนิยมในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 ถูกทําความเข้าใจและจัดการจาก มุมมองของคนทัวไปด้ ่ วยวิถที างของวัฒนธรรม การทําความเข้าใจจึงต้องผ่านมุมมองทางมานุ ษยวิทยา โดยก่อนหน้านี้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 การแลกเปลีย่ นระหว่างสาขาประวัตศิ าสตร์และมานุ ษยวิทยา มีอยู่น้อยมากในโลกวิชาการ การที่ทอมป์สนั นํ านักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ออกจากความสนใจเรื่อง
D
R
121
121
Suzanne Desan, "Crowds, Community, and Ritual in the Work of E. P. Thompson and Natalie Davis," in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 54-55. 122 นักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้เริม่ รวมตัวกันที่ Ruskin College มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดภายใต้การนํ าของราฟาเอล แซมมวล (Raphael Samuel) ต่อมาในปี 1976 เริม่ วารสาร History Workshop Journal
67
องค์กรสหภาพและการรวมตัวของกลุ่มแรงงาน มาสนใจค่านิยม มิติด้านพิธกี รรมและความหมายใน ชีว ิต ประจํา วัน รวมถึง การให้ ค วามสํ า คัญ กับ การทํา ความเข้า ใจความรู้ส ึก นึ ก คิด ของผู้ ค นในอดีต (empathy) เป็ นการนํ าให้ทงั ้ สองสาขาเข้ามาแลกเปลีย่ นกันมากขึน้ จนเห็นชัดมากในทศวรรษต่อมา อีก ทัง้ มีส่วนสําคัญในการนํ าให้ความสนใจ “วัฒนธรรมประชาชน” (popular culture) เข้าสู่ประวัตศิ าสตร์ กระแสหลักมากขึน้ 123 122
F
T
ข้อวิจารณ์การศึกษาของทอมป์สนั มีหลากหลายประเด็นและมาจากหลายฝงั ่ ทัง้ จากนักวิชาการ ั ่ นิยมซึ่งโดยรวม มาร์กซิสม์ร่วมสมัยและจากนักวิชาการด้านวัฒนธรรมรุ่นใหม่ ด้านหนึ่งมาจากฝงสตรี มองว่าทอมป์สนั วิเ คราะห์สตรีใ นมิติทางวัฒนธรรมหยาบเกินไป เนื่อ งจากในบทความปี 1971ความ ั หาราคาธัญ พืช สตรีมบี ทบาทสู ง ถึง ขัน้ เป็ น ผู้นํ า ในการขับ เคลื่อ นมวลชน ขัด แย้ง และจลาจลจากป ญ เนื่ องจากเพศสภาพถู กใช้เ ป็ นหนึ่ง ในเครื่อ งมือ และยุทธศาสตร์ของการต่ อสู้ อีกทัง้ จากช่ องโหว่ของ กฎหมายและจากสํานึกและประสบการณ์ของสตรีในฐานะผูด้ ูแลเรื่องการซือ้ ขายของครัวเรือน อย่างไรก็ ดีทอมป์สนั ถูกวิจารณ์ค่อนข้างมากจากนักวิชาการสตรีนิยม ว่าไม่ได้สนใจหรือมองไม่เห็นถึงอํานาจและ บทบาทอย่างไม่เป็ นทางการของสตรีภายในระบบโครงสร้าง 124 ข้อวิจารณ์อกี ประการหนึ่งคือทอมป์สนั มองพลวัตว่ามาจากความสัมพันธ์ระหว่างชนชัน้ เช่น ระหว่างชาวนายังชีพกับเยนทรี ระหว่างชนชัน้ ปกครองกับฝูงชน โดยพยายามทําความเข้าใจพฤติกรรมของมวลชนโดยมองว่าถูกชีน้ ํ าโดยธรรมเนียม และสํานึกร่วมบางอย่าง และมีการประสานเจตจํานงและพฤติกรรมร่วมกัน แต่ทอมป์สนั มองไม่เห็นความ ขัดแย้งหรือไม่ลงรอยทางความคิดและการช่วงชิงอํานาจภายในมวลชนหรือชนชัน้ โดยเฉพาะการอธิบาย ผ่านแนวคิด “moral economy” ซึ่งเป็ นวิธอี ธิบายโครงสร้างเชิงลึก อันมีเสถียรภาพของกลุ่มคนที่ม ี อิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรม ซึง่ มองไม่เห็นพลวัตทางวัฒนธรรมภายในซึง่ มานุ ษยวิทยาวัฒนธรรม สนใจ
D
R
A
1 23
123
Geoff Eley, A Crooked Line : From Cultural History to the History of Society (Ann Arbor: University of Michigan Press, 2005),
56.
124
Desan, "Crowds, Community, and Ritual in the Work of E. P. Thompson and Natalie Davis," 58-59.
68
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมปลายศตวรรษที่ 20: “the Cultural Turn” จากที่กล่าวมาแล้วพอเห็นได้ว่านักประวัตศิ าสตร์สงั คมจากสองสํานักหลักๆ ซึ่งได้แก่อานาลส์ และสํานักมาร์กซิสม์ได้หนั ไปให้ความสําคัญกับมิตทิ างวัฒนธรรมมากขึน้ ในช่วงทศวรรษที่ 1970 รวมทัง้ อิทธิพลจากแนวคิดและกรอบวิธที าํ ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรมจากต่างสาขาโดยเฉพาะมานุ ษยวิทยา ั ่ งกฤษและอเมริกา เช่น โทมัส (Keith ซึง่ เห็นได้ชดั จากงานของนักประวัตศิ าสตร์ช่วงต้นสมัยใหม่จากฝงอั Thomas) และนาตาลี ซีโมน เดวิส (Natalie Zemon Davis) รวมไปถึงงานของนักประวัตศิ าสตร์กลุ่ม หนึ่งในอิตาลี 125 อีกทัง้ แนวคิดทฤษฏีว่าด้วยวัฒนธรรมถูกทบทวนขนานใหญ่ในทศวรรษที่ 1970 ทําให้ การศึกษาด้านวัฒนธรรมทีเ่ คยถูกยึดพืน้ ทีจ่ ากสาขามานุ ษยวิทยาถูกท้าทายมากขึน้ โดยเฉพาะแนวคิด หลังโครงสร้างนิยมจากฝรังเศส ่ 126 ซึง่ เสนอแนวคิดทฤษฎีท่นี ํ าไปสู่การมองวัฒนธรรมทีซ่ บั ซ้อนมากขึน้ ผ่านมิตทิ างภาษา อีกทัง้ ประเด็นศึกษาถูกขยายขอบเขตออกไปมากทัง้ ประเด็นเรื่องสตรี ชนกลุ่มน้ อย รวมถึ ง สื่ อ ใหม่ แ ละสัง คมบริโ ภคนิ ย ม รวมไปถึ ง การท้ า ทายในเชิ ง ระเบีย บวิธ ี จ ากข้ อ เขีย นเชิ ง ประวัตศิ าสตร์ของมิเชล ฟูโก การศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมจึงรับเอาการวิเคราะห์ดา้ นวัฒนธรรมที่ ซับซ้อนมากขึน้ มากกว่าทีส่ าขามานุ ษยวิทยาเคยครอบครองอาณาเขตไว้
T
124
F
125
12 6
R
A
ในทศวรรษที่ 1980 นี้เองเป็ นช่วงทีน่ ักประวัตศิ าสตร์หนั มาสนใจวัฒนธรรมมาก ขึน้ อีกทัง้ มอง วัฒนธรรมว่าหลุดจากความสัมพันธ์กบั โครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจสังคมและโครงสร้างระดับลึกอื่นๆ แม้ท่ามกลางกลุ่มนักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ในอังกฤษ ก็เห็นได้ถงึ ความสนใจประวัตศิ าสตร์ในแง่มุม ทางภาษามากขึน้ แม้ยงั คงยึดกรอบความสัมพันธ์ด้านการผลิตอยู่ 127 ขณะทีน่ ักประวัตศิ าสตร์สํานักอา นาลส์รุ่นที่ 4 ปฏิเสธกรอบแนวคิด mentalités ทีม่ องว่าเป็ นสภาวะจํากัดเชิงโครงสร้างทีเ่ ป็ นผลมาจาก
125
Keith Thomas. Religion and the Decline of Magic: studies in popular beliefs in sixteenth and seventeenth century England, 1971; Natalie Davis. Society and Culture in Early Modern France: Eight Essays, Stanford, California: Stanford University Press, 1975; Carlo Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller (It. 1976; Eng. 1980)
D
126
งานในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งถือได้ว่าส่งผลโดยตรงต่อข้อถกเถียงการศึกษามิติทางวัฒนธรรมได้แก่ Clifford Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays (1973); Hayden White, Metahistory: The Historical Imagination in Nineteenth-Century Europe (1973); Pierre Bourdie, Outline of a Theory of Practice (1977); Michel Foucault, Discipline and Punish : The Birth of the Prison (1977). 127
Lynn Hunt, "Introduction," in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 5. งานทีเ่ ป็ นตัวอย่างทีด่ คี อื William Hamilton Sewell, Work and Revolution in France : The Language of Labor from the Old Regime to 1848 (Cambridge: Cambridge University Press, 1980); Gareth Stedman Jones, Languages of Class : Studies in English Working Class History 1832-1982 (Cambridge: Cambridge University Press, 1983). ซึ่งในทางอ้อมเป็ น การวิพากษ์งานของทอมป์สนั โดยแสดงให้เห็นว่ามิตทิ างภาษามีบทบาทอย่างสูงในการสร้างการรับรูแ้ ละวัฒนธรรมเรือ่ งชนชัน้ และแรงงาน
69
ปจั จัยทางเศรษฐกิจและสังคม แนวโน้มการหันมาสนใจมิตทิ างวัฒนธรรม (cultural turn) ยังเป็ นไปใน สัง คมศาสตร์ใ นหลายสาขาวิชา รวมถึง เกิด การจัด กลุ่ มสาขาวิชาใหม่เ ป็ นวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) เพื่อมุ่งศึกษาวัฒนธรรมเชิงสหวิชาการ อีกทัง้ อิทธิพลจากแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมก่อให้เกิด ทัศนะว่าวัฒนธรรมมีพลวัตในตัวเองและไม่ใช่ภาพสะท้อนโครงสร้างหรือความสัมพันธ์ทางสังคม โดย วัฒนธรรมถูกศึกษาผ่านการรับรูโ้ ดยศึกษาภาษา สัญญะและภาพแทน โดยมองว่าภาพแทนและภาษา เป็ นส่วนสําคัญในการกําหนดความเป็ นจริงทางสังคม
T
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในฝรังเศส ่
D
R
A
F
ประวัตศิ าสตร์อานาลส์ในรุน่ ที่ 4 หรือในช่วงทศวรรษที่ 1980 ให้ความสําคัญกับพลวัตวัฒนธรรม ชัดเจนขึน้ ในงานของนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสในรุ ่ ่นต่อมา แม้ว่า “ทฤษฎีฝรังเศส” ่ จะมีอทิ ธิพลต่อโลก วิชาการมนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในทศวรรษที่ 1980 มาก แต่ในวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ใน ฝรังเศสเป็ ่ นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากทัง้ ความไม่วางใจต่ อทฤษฎีและข้อถกเถียงเกี่ยวข้องกับสํานักหลัง โครงสร้ า งนิ ย มดัง ที่ก ล่ า วมาแล้ ว ข้ า งต้ น นอกจากประวัติศ าสตร์ ม าร์ก ซิส ม์ จ ากอัง กฤษแล้ ว นั ก ประวัติศ าสตร์ฝ รังเศสจึ ่ ง ตอบรับงานวิช าการด้านประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมกระแสหนึ่ ง ซึ่งปลอดภัย มากกว่า โดยปี 1974 และ 1975 Civilizing Process ของเอเลียสถูกนํ ามาตีพมิ พ์ในภาษาฝรังเศส ่ รวม ไปถึงการตอบรับข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์ของมิเชล ฟูโก(Michel Foucault) ทีไ่ ด้รบั ความสนใจในวง กว้า ง ขณะที่มนี ัก ประวัติศ าสตร์จากวงนอกอย่า งเช่ นฟิ ล ิปป์ อารีส์ (Philippe Aries)128 งานด้า น ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมช่วงนัน้ มีลกั ษณะสําคัญคือ เป็ นการอธิบายและประเด็นศึกษาทางมานุ ษยวิทยา ซึ่ง ก็ค ือ มานุ ษ ยวิท ยาเชิง สัญ ญะ (symbolic anthropology) ที่เ ป็ นอิท ธิพ ลจากแนวคิด ทฤษฎีเ รื่อ ง วัฒนธรรมของปิ แอร์ บูรด์ เิ ยอ (Pierre Bourdieu) ผ่านแนวคิดเรื่อง “habitus” และ “symbolic capital” 129 ทีม่ องว่าวัฒนธรรมเป็ นพืน้ ที่ซ่งึ มีพลวัตและมี “ปฏิบตั กิ าร” ของมันเองไม่ได้ขน้ึ กับโครงสร้างทางสังคม และเศรษฐกิจเสมอไป การให้ความสําคัญต่อมิตทิ างวัฒนธรรมของนักประวัตศิ าสตร์รุ่นนี้สอดรับกับ กระแสทบทวนประวัตศิ าสตร์นิพนธ์การปฏิวตั ฝิ รังเศสเมื ่ ่องานฉลองครบรอบ 200 ปี ใกล้เข้ามา ที่ข้อ ถกเถียงสําคัญ คือ การวิจารณ์ ก ารตีค วามการปฏิว ตั ิใ นเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสัง คมที่ได้รบั
128
Philippe Aries, L’Enfant et la Vie Familiale sous l’Ancien Régime (1960) แปลเป็ นภาษาอังกฤษภายใต้ช่อื Centuries of Childhood : A Social History of Family Life (1962); Michel Foucault, Histoire de la folie à l'âge classique - Folie et déraison (1961) สําหรับเอเลียส ดู หน้า 39 129 Pierre Bourdieu and Richard Nice, Outline of a Theory of Practice (Cambridge: Cambridge University Press, 1977).
70
อิทธิพ ลจากสํานักมาร์ก ซิส ม์และเชื่อ มโยงกับกลุ่ มทฤษฎีส มัยใหม่ภิวฒ ั น์ (modernization theory) โดยเฉพาะจากการวิจารณ์ของฟร็องซัวส์ ฟูเรท์ (Francois Furet) ใน Penser la Révolution Française (1978; Interpreting the French Revolution, 1981) เกิดกระแสทบทวนประวัตศิ าสตร์นิพนธ์การปฏิวตั ิ ซึง่ ด้านหนึ่งนักประวัตศิ าสตร์หนั มาทําความเข้าใจการปฏิวตั ใิ นมิตทิ างวัฒนธรรมมากขึน้
R
A
F
T
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เห็นได้ถงึ ทิศทางการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีอ่ ยู่ในวงวิชาการ สากลมากขึน้ ลักษณะเฉพาะที่เคยชัดเจนลดลงและมีปฏิสมั พันธ์ทางวิชาการกับโลกอเมริกามากขึน้ มี ส่วนทําให้ในช่วงปลายทศวรรษวลี L'histoire culturelle แพร่หลายมากขึน้ ในฝรังเศส ่ ส่วนหนึ่งเป็ น อิทธิพลจากวิชาการประวัติศาสตร์ในอังกฤษและอเมริกา เห็นได้จากนักประวัตศิ าสตร์รุ่นใหม่อย่างโร เจอร์ ชาติเยร์ (Roger Chartier) ซึง่ เป็ นผูอ้ ํานวยการของ École des hautes études en sciences sociales (EHESS) หรือชื่อเดิม VI Section ฐานที่มนดั ั ่ ง้ เดิมของสํานักอานาลส์ ชาติเยร์และนัก ประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสในช่ ่ วงทศวรรษที่ 1980 ผลิตงานทีส่ นใจด้านวัฒนธรรมมากขึน้ กว่าทศวรรษก่อน มาก อีกทัง้ เป็ นทศวรรษทีก่ ารปฏิวตั ฝิ รังเศสและศตวรรษที ่ ่ 18 เป็ นประเด็นสนใจของนักประวัตศิ าสตร์ สํานักนี้มากขึน้ กล่าวได้ว่าช่วงเวลายาวแบบ longue durée ลดความนิยมลง อีกทัง้ ในทศวรรษครบรอบ 200 ปี ของการปฏิวตั ิ การทบทวนในทางประวัติศ าสตร์จงึ เข้มข้นมาก โดยทิศทางสําคัญ คือ ในแง่ วัฒนธรรมซึง่ ชาติเยร์กล่าวถึงใน The Cultural Origins of the French Revolution 130 ส่วนหนึ่งเป็ นการ สานต่ อ การวิจารณ์ ก ารตีค วามแบบมาร์ก ซิส ม์ซ่ึง ฟร็อ งซัว ส์ ฟู เ รท์ไ ด้เ ริ่มไว้ จากการอภิป รายและ สังเคราะห์งานศึกษาการปฏิวตั ฝิ รังเศสหลายชิ ่ น้ ได้ชใ้ี ห้เห็นว่าการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรมในหลายๆ มิตแิ ละหลายระดับในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิง่ วัฒนธรรมการเมืองที่เป็ นผลมาจากการ ปฏิรปู การศึกษา ขยายตัวของสื่อสิง่ พิมพ์และความสําคัญของความคิดเห็นสาธารณะมีส่วนสําคัญในการ ทีก่ ารปฏิวตั เิ ป็ นไปได้ โดยอิทธิพลสําคัญของการตีความลักษณะนี้มาจากแนวคิด “ปริมณฑลสาธารณะ” (public sphere) ของเยอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jurgen Habermas) 131 โดยชาติเยร์นิยามวัฒนธรรมในเชิง มานุ ษยวิทยาซึง่ เป็ นการแยกตัวออกมาจากการอธิบายสาเหตุของการปฏิวตั วิ ่ามาจากการเปลี่ยนแปลง
D
130
130
Roger Chartier, The Cultural Origins of the French Revolution, Bicentennial Reflections on the French Revolution (Durham, N.C.: Duke University Press, 1991). ตีพมิ พ์ครัง้ แรกเป็ นภาษาฝรังเศสในปี ่ 1990 ภายใต้ช่อื Les Origines Culturelles de la Révolution Française 131
การใช้แนวคิด public sphere ของนักประวัตศิ าสตร์การปฏิวตั ฝิ รังเศสค่ ่ อนข้างถูกวิจารณ์ ในการใช้ทฤษฎีอย่างมาก สําหรับการ อภิปรายเรือ่ ง public sphere ในงานดังกล่าว ดู William M. Reddy, "Review: The Cultural Origins of the French Revolution by Roger Chartier; Lydia G. Cochrane," Social History 17, no. 2 (1992).
71
ทางด้านภูมปิ ญั ญาซึง่ เป็ นหนึ่งในการตีความสําคัญ อีกทัง้ เป็ นการชีใ้ ห้เห็นว่าวัฒนธรรมมีสถานะเป็ นตัว กระทําทีส่ าํ คัญได้ในตัวของมันเอง
A
F
T
ชาติเยร์สนใจประวัตศิ าสตร์หนังสือและวัฒนธรรมการอ่านใน Ancien regime โดยวางอยู่บน การศึกษาแบบมานุ ษยวิทยา งานของชาติเยร์มลี กั ษณะสําคัญที่สนใจช่วงเวลาสัน้ และเป็ นงานทีศ่ กึ ษา วัฒ นธรรมในช่ ว งก่ อ นและช่ ว งการปฏิว ัติฝ รังเศส ่ โดยชาติเ ยร์ศึก ษาบริบ ทของกระบวนการผลิต วรรณกรรม ทัง้ การเขียน ตีพมิ พ์เผยแพร่ การอ่าน จดบันทึก คัดลอก การแปลและการถ่ายทอดทัง้ ทาง วาจาและข้อเขียน อิทธิพลสําคัญต่อชาติเยร์คอื มานุ ษยวิทยาวัฒนธรรมตามแนวทางของปิ แอร์ บูรด์ เิ ยอ และแนวคิดของมิเชล เดอ แชร์โต (Michel De Certeau) ชาติเยร์เห็นว่าการอ่านและหนังสือเป็ น “ปฏิบตั กิ าร” (practices) ในแง่ของวัฒนธรรม โดยมองว่าความหมายของผลผลิตทางวัฒนธรรมเป็ นสิง่ ที่ ประกอบสร้างขึน้ มีพลวัตในตัวเองและมีความลื่นไหลสูง แนวคิดว่าด้วยวัฒนธรรมดังกล่าวแตกต่างจาก นักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสรุ ่ ่นก่อนทีม่ องเห็นโครงสร้างที่ค่อนข้างหยุดนิ่งและขึน้ กับสภาวะทางกายภาพ และโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ชาติเยร์มองว่าวัฒนธรรมอยู่ทป่ี ฏิบตั กิ ารทางความหมายและประกอบสร้าง “ภาพแทน” (representation) ไม่ได้อยูท่ ่ี “ความรูส้ กึ นึกคิด” ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทีเ่ ชื่อว่ามีเจ้าของอยู่ จริง ซึง่ เห็นได้ถงึ แนวโน้มไม่พอใจกับ Histoire des Mentalité ของนักประวัตศิ าสตร์รุ่นก่อน รวมถึงการ ปฏิเสธว่ารูปแบบทางวัฒนธรรมสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มทางสังคมได้อย่างผูกขาด 132 131
R
โดยงานของชาติเยร์ช้ใี ห้เห็นว่าวัฒนธรรมไม่ใช่เป็ นเพียงภาพสะท้อนกลุ่มคนหรือรูปแบบทาง สังคม แต่เป็ นความสัมพันธ์ท่ซี บั ซ้อนแต่ ละส่วนมีตรรกะ กลไกและความเป็ นไปของมันเอง ชาติเยร์ วิจารณ์แนวคิดทางวัฒนธรรมของ Histoire des Mentalité โดยชีว้ ่า “ภาวะบีบรัดทีอ่ ยู่บนพืน้ ฐานของ ความเป็ นจริง” (objective constraints) ทีม่ ตี ่อวัฒนธรรมนัน้ แยกกันจากพลวัตของวัฒนธรรม เห็นว่า วัฒนธรรมมีปฏิบตั กิ ารเป็ นของตนเองแยกออกจากความเป็ นไปหรือรูปแบบของสังคม 133 โดยชาติเยร์ เห็นว่าวัฒนธรรมเป็ นเรื่องของมุมมองและกระบวนการสร้างความหมาย ประเด็นถกเถียงว่าด้ว ย ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมของชาติเยร์เป็ นไปในทิศทางเดียวกับวงวิชาการทางด้านทฤษฎีในเวลานัน้ กล่าวคือปิ แอร์ บูรด์ เิ ยอและมิเชล ฟูโก ในข้อเขียนอภิปรายข้อถกเถียงจากแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม และแนวคิดหลังสมัยใหม่ในการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ชาติเยร์อภิปรายความแตกต่างระหว่าง
D
132
132 133
Burke, The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89, 84-85.
Jonathan Dewald, "Roger Chartier and the Fate of Cultural History," in Historiography : Critical Concepts in Historical Studies Volume 4: Culture, ed. R. M. Burns(London: Routledge, 2006), 83.
72
T
คําว่า “วาทกรรม” (discourse) และ “ปฏิบตั กิ าร” (practice) ชีว้ ่า “วาทกรรม” มีลกั ษณะของการสถาปนา หรือ สร้างภาพแทนความเป็ นจริง ความเป็ นเหตุ เป็ นผลหรือบรรทัด ฐาน มักจะมาจากปริมณฑลของ อํานาจและความชอบธรรมเพื่อคงไว้ซง่ึ อํานาจหรือจัดระบบ ในทางตรงข้าม “ปฏิบตั กิ าร” มีลกั ษณะมา จากเบื้องล่างเช่นชุมชนหรือปจั เจกเพื่องัดง้างกับอํานาจ ไม่ใช่ด้วยพละกําลังแต่ดว้ ยวิธกี ารและยุทธวิธ ี ใหม่ ชาติเยร์ช้วี ่านักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมต้องทําความเข้าใจประวัติศาสตร์ของการประกอบสร้าง ความหมาย ซึ่งอยู่ท่กี ารงัดง้างระหว่างความสามารถในการสร้างสรรค์ของปจั เจกหรือชุมชนเพื่อต่อกร ั ่ านาจ โดยในประวัตศิ าสตร์หนังสือและการอ่าน กับภาวะบีบรัด บรรทัดฐานหรือจารีตประเพณีจากฝงอํ “วาทกรรม” แฝงอยู่ในตัวบทมาจากระบบภาษาและมีส่วนสําคัญในการครอบงําตรรกะของผลผลิตทาง วรรณกรรมแต่ละชิน้ ส่วน “ปฏิบตั กิ าร” คือทุกอย่างทีไ่ ม่ได้อยู่ในตัวบท แต่ขน้ึ อยู่กบั ตําแหน่ งแห่งทีท่ าง สังคมของปจั เจกหรือชุมชนการอ่าน และความสัมพันธ์ของตัวบทกับชีวติ ประจําวันของผูอ้ ่านและผูร้ บั ตัว บทนัน้ 134 แนวคิด “ปฏิบตั กิ าร” ของชาติเยร์ค่อนข้างคลุมเครือ แต่อาจเรียกได้ว่าเป็ นชาติพนั ธุว์ รรณนา (ethnography of reading) และสังคมวิทยาของตัวบท (sociology of texts) ซึง่ มีส่วนมาจากกรอบวิธ ี ศึกษาทางด้านสังคมวิทยา มานุ ษยวิทยาและบรรณศาสตร์สมัยใหม่ทศ่ี กึ ษาหนังสือและการอ่าน เห็นได้ ว่าชาติเยร์ให้ความสําคัญกับวัฒนธรรมในมิตขิ องการปฏิบตั กิ าร ซึ่งแยกออกจากวัฒนธรรมในแง่ของ วรรณกรรมในแง่ของการสร้างและผลิต โดยเห็นว่าหนังสือในการเป็ นวัตถุ การเผยแพร่ การอ่านและการ ถ่ายทอดความรูผ้ ่านวัฒนธรมมุขปาฐะมีส่วนสําคัญในการสร้างความหมาย อีกทัง้ ความหมายดังกล่าว ไม่ได้เป็ นภาพสะท้อนสังคมใดสังคมหนึ่งแค่เป็ นการงัดง้างทางความหมายในหลายระดับและมีความ ซับซ้อน เห็นได้ชดั ว่ามองวัฒนธรรมมีพลวัตกว่านักประวัตศิ าสตร์ร่วมสํานักรุ่นก่อน โดยอ้างอิงข้อเขียน ของบูรด์ เิ ยอ ชาติเยร์ชว้ี ่าระบบสัญญะและภาพลักษณ์ของระเบียบทางสังคมเป็ นเครื่องมือสําคัญในการ งัดง้างทางอํานาจเช่นเดียวกับอํานาจทางเศรษฐกิจ ผ่านการปรับแต่งทางความรูส้ กึ นึกคิดและจินตภาพ ว่าด้วยระบบสังคมนํ ามาซึ่งความเปลีย่ นแปลงจริง โดยปฏิบตั กิ ารทางความรูส้ กึ นึกคิดดังกล่าวเป็ นการ ต่อสูแ้ ละต่อรองมีส่วนในการปรับเปลีย่ นระบบสังคมและการก่อตัวของชนชัน้ 135
R
A
F
133
D
134
134 135
Dewald, "Roger Chartier and the Fate of Cultural History," 84-86. Chartier, "Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories," 41.
73
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมกับความหมาย: the New Cultural History ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงนี้จงึ มีการเปลีย่ นแปลงทางกระบวนทัศน์ทส่ี ําคัญ โดยการท้าทาย และตัง้ คําถามกับกระบวนทัศน์อนั นาลส์และมาร์กซิสม์ทม่ี องว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ ทางสัง คมเป็ น สิ่ง กํ าหนดวัฒ นธรรมยัง มีมาจากอีก ฟากหนึ่ ง ของมหาสมุ ทรแอตแลนติก โดยเฉพาะ อิทธิพลจากสาขามานุ ษยวิทยาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เป็ นต้นมา มานุ ษยวิทยาเชิงสัญญะมองว่า วัฒนธรรมค่อนข้างเป็ นอิสระจากความจําเป็ นทางกายภาพและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม มี ปฏิบตั กิ ารและการผลิตทางวัฒนธรรมจากการตีความและสร้างความหมายจากสํานึกของมนุ ษย์เอง 136 นักมานุ ษยวิทยาที่ถือได้ว่ามีอิทธิพลต่ อสาขาประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมอย่างสูงคือ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz) เกียร์ซเป็ นหนึ่งในหัวหอกของมานุ ษยวิทยาเชิงสัญญะตัง้ แต่ทศวรรษที่ 1970 โดย ข้อเขียนของเกียร์ซทีถ่ อื ได้ว่าเป็ นแหล่งอ้างอิงหลักในด้านวิธกี ารของนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมรุ่นใหม่ คือบทความที่รวมอยู่ใน the Interpretation of Cultures (1973) เกียร์ซแสดงให้เห็นถึงการตีความ วัฒนธรรมจากสารบบของสัญญะและความหมาย ซึ่งมีลกั ษณะลื่นไหลและตายตัวน้อยกว่าเลวี-สโทรสส์ มาก
F
T
13 5
A
เกียร์ซชี้ว่าปรากฏการณ์ ทางวัฒนธรรมเป็ นการสื่อสารและการแสดงออกทางความหมายเป็ น ระบบที่สามารถตีความเพื่อการศึกษาวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องและคล้ายกับการศึกษาวัฒนธรรมแบบ โครงสร้างนิยมทีโ่ คลด เลวี-สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) เสนอ ขณะทีเ่ ลวี-สโทรสส์ชว้ี ่าวัฒนธรรมมี 136
D
R
โดยทั ่วไปวิธกี ารทางมานุ ษยวิทยาและวิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์มกั ถูกมองว่าไปด้วยกันได้ไม่ดนี ัก เนื่องจากกรอบการวิเคราะห์ทาง มานุ ษยวิทยากระแสหลักศตวรรษที่ 20 ถูกชี้นําโดยแนวคิดทฤษฎีสกุลหน้าทีน่ ิยม (functionalism) ซึ่งสนใจโครงสร้างหรือองคาพยพทาง สังคมทีค่ งทีไ่ ม่ค่อยมองเห็นความเปลีย่ นแปลงตามเวลาทางประวัตศิ าสตร์ แม้แต่ประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์ทไ่ี ด้รบั อิทธิพลจากทฤษฎี ทางสังคมวิทยาตามสายของ เดอร์ไคหม์กค็ ่อนข้างมองประวัตศิ าสตร์ในภาพทีค่ ่อนข้างแน่ นิ่ง หรือหากมองความเปลีย่ นแปลงก็มกั เป็ นไป ในเชิงเปรียบเทียบในลักษณะยุคทีม่ าก่อนและยุคทีต่ ามมา (ตัวอย่างทีช่ ดั เจนคือ Feudal Society ของโบลค) หรือนักประวัตศิ าสตร์สาํ นักอา นาลส์ทใ่ี ช้วธิ กี ารทางมานุ ษยวิทยาก็มกั วางอยู่บนทัศนะแบบหน้าทีน่ ิยมคือ สนใจขนบธรรมเนียม ประเพณีและค่านิยมในแง่ทม่ี หี น้าทีใ่ น โครงสร้างเพื่อรักษาสมดุลหรือระเบียบของสังคม อีกทัง้ Histoire des Mentalité สมัยกลางทีใ่ ช้การอธิบายแบบมานุ ษยวิทยาอย่าง จาร์ค เลอก็อฟ (Jacques Le Goff) และจอร์จ ดูบี (Georges Duby) ก็ไ ม่ไ ด้สนใจการเปลี่ยนผ่านนัก จึงอาจกล่าวได้ว่านอกจากที่นัก ประวัติศาสตร์สงั คมสํานักอานาลส์จะให้ความสําคัญกับวัฒนธรรมในชีวติ ประจําวันแล้วและประเด็นศึกษาที่ได้รบั อิทธิพลมาจากสาขา มานุ ษ ยวิทยาแล้ว กรอบทฤษฎีศ ึก ษาวัฒนธรรมจากมานุ ษ ยวิท ยายังคงเข้ากัน ได้ไ ม่ดีนัก กับการอธิบายถึงพลวัต ทางวัฒนธรรมใน ประวัตศิ าสตร์ หากมองทีแ่ นวคิดทางวัฒนธรรมพอกล่าวได้ว่าประวัตศิ าสตร์ของโบรเดลมีส่วนใกล้เคียงกับมานุ ษยวิทยาสํานักวัตถุนิยมทาง วัฒนธรรม (cultural materialism) อาจพอกล่าวได้ว่ามานุ ษยวิทยาเชิงสัญญะ (symbolic anthropology) เป็ นคู่ถกเถียงสําคัญกับ มานุ ษยวิทยาสํานักวัตถุนิยมทางวัฒนธรรม (cultural materialism) ในลักษณะใกล้เคียงกับทีป่ ระวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเป็ นคู่ถกเถียงทาง ทฤษฏีกบั ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมสํานักอานาลส์ ในแง่ทท่ี งั ้ คู่มองว่าปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมเป็ นผลมาจากความจําเป็ นทางกายภาพ และสภาวะแวดล้อม ขณะทีค่ ่หู ลังมองวัฒนธรรมว่าเป็ นอิสระจากสิง่ เหล่านัน้ มากกว่า
74
ลักษณะเหมือนเป็ นสูตรโครงสร้างสมการคณิตศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางสัญญะเป็ น โครงสร้างสู่สมการทางสัญญะของวัฒนธรรม ซึ่งกรอบคิดของเลวี-สโทรสส์ไม่ได้มอี ทิ ธิพลต่อวงวิชาการ ด้านประวัติศาสตร์นักเนื่องจากเป็ นแนวคิด ที่ไม่ให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ ขณะทีเ่ กียร์ซมองว่าวัฒนธรรมเป็ นระบบของความคิดทีส่ บื ทอดมาซึง่ แสดงออกผ่านรูปทางสัญญะ ซึง่ ทํา ให้ความรูเ้ กี่ยวกับการดํารงชีวติ และทัศนคติต่อชีวติ ถูกสื่อสาร ถูกรักษาและพัฒนาได้” 137 เกียร์ซอ้าง แมกซ์ เวเบอร์ท่วี ่า “มนุ ษย์คอื สัตว์ท่แี ขวนอยู่ในเครือข่ายของความหมายที่ตนเองเป็ นผู้ถกั ทอขึน้ มา” มนุ ษย์จงึ ต้องทําความเข้าใจและค้นหาความหมายของสิง่ ต่างๆและปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว ดังนัน้ เพื่อทีน่ กั มานุ ษยวิทยาจะเข้าใจแง่มมุ ทางวัฒนธรรมจึงเป็ นการตีความเพื่อค้นหาความหมายและทําความ เข้า ใจต่ อ วัฒ นธรรมตามแบบมนุ ษ ย์ ไม่ ใ ช่ ว ิเ คราะห์ เ พื่อ มองหากฎหรือ แบบแผนโครงสร้า งแบบ วิท ยาศาสตร์ การศึก ษาวัฒ นธรรมต้ อ งผ่ า นการตีค วาม กล่ า วคือ เป็ น การแจกแจงอย่ า งละเอีย ด (explication) เพื่อทําความเข้าในปริศนาของการแสดงออกทางสังคม 138 แต่เกียร์ซมองสัญญะมีความลื่น ไหลและอยูใ่ นห้วงของการตีความหลายระดับจากหลายมุมมอง
T
1 36
F
137
A
เกียร์ซกล่าวว่าหัวใจของการศึกษาด้านชาติพนั ธุ์วรรณนาไม่ใช่เพียงวิธปี ฏิบตั ใิ นการจดบันทึก ข้อเท็จจริงผ่านวิธกี ารต่างๆ แต่เป็ นการใช้ความคิดในการตีความ ซึง่ เกียร์ซเรียกว่า “thick description” หรือ “การบรรยายทีห่ นาแน่ น” 139 สําหรับเกียร์ซหัวใจของวัฒนธรรมคือการทีม่ นุ ษย์ใช้ความคิดในการ ตีความปรากฎการณ์ต่างๆเพื่อสร้างความหมาย ทําให้ทุกสิง่ ทุกอย่างมีสถานะเปรียบเหมือนตัวบท (text analogy) เพื่อการอ่านเอาความ เกียร์ซชีว้ ่า “วัฒนธรรมคือสารบบของสัญญะทีร่ อการตีความหลายระบบ ประสานกัน วัฒนธรรมไม่ใช่อํานาจใดอํานาจหนึ่งซึ่งเป็ นที่มาของเหตุ การณ์ พฤติกรรม สถาบันหรือ
R
13 8
137 138
Clifford Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays (New York,: Basic Books, 1973), 89.
D
Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 5. ในส่วนนี้เห็นได้ชดั ว่าเป็ นการวิจารณ์มานุ ษยวิทยาโครงสร้างนิยมตาม แนวทางของโคลด เลวี-สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) ทีถ่ อื ได้ว่ามีอิทธิพลต่อนอกสาขาของตน มีอทิ ธิพลต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมไม่มากนัก เลวี-สโทรสส์มองหาตรรกะภายในโครงสร้างทางความคิดที่แน่ นิ่ง แม้ว่านักประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์หลายท่าน รวมถึงโบรเดลแสดงทัศนะว่ามีความสนใจในการทําความเข้าใจโครงสร้างและความสัมพันธ์ในสังคมในลักษณะเดียวกันซึ่งโบรเดลเรียกว่า “social mathematics” อย่างไรก็ดโี บรเดลชีว้ ่าเลวี-สโทรสส์ให้ความสําคัญในการถอดรหัสความสัมพันธ์ในมิตทิ างภาษาทีซ่ ่อนเร้นอยู่ ขณะที่ ทางประวัตศิ าสตร์แบบ longue durée เป็นการทําความเข้าใจโครงสร้างทางเวลาอีกระดับทีซ่ ่อนอยู่ เป็ นการมองหาโครงสร้างต่างปริมณฑล กัน (ดู Braudel, On History, 38-44.) งานศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมของ ฌอง-ปิ แอร์ เวอร์แนนท์ (Jean-Pierre Vernant) ทีเ่ ดินตาม ทฤษฎีของเลวี-สโทรสส์กถ็ อื เป็นข้อยกเว้น 139
Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 24. อคิน รพีพฒ ั น์ แปลว่า “การบรรยายทีล่ ะเอียดและลุ่มลึก” ดู อคิน รพีพฒ ั น์, วัฒนธรรมคือความหมาย : ทฤษฎีและวิธกี ารของคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุ ษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน), 2551), 126.
75
กระบวนการต่างๆ แต่บริบทเป็ นสิง่ ทีท่ าํ ให้อธิบายองค์ประกอบเหล่านี้อย่างเข้าใจและเป็ นเหตุเป็ นผล ซึง่ ก็คอื การบรรยายทีห่ นาแน่ น” 140 139
T
ในบทความที่อ ธิบ ายความหมายของการชนไก่ ใ นวัฒ นธรรมบาหลี เกีย ร์ซ ชี้ใ ห้ เ ห็ น ว่ า ปรากฏการณ์ เช่นการชนไก่สามารถถูกนํ ามาอ่ านเพื่อศึกษาระบบทางสัญญะเช่นเดียวกับการตีความ วรรณกรรม การชนไก่ การชมและการเดิมพันที่รายรอบเป็ น “ตัวบท” (text) ที่สามารถเปิ ดเห็นถึง ความหมายทีห่ นาแน่ น ซับซ้อนและลุ่มลึก แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันและการงัดง้างทางอํานาจ การเดิม พันสถานะสัง คมและสภาวะทางจิตใจซึ่งสะท้อนผ่านสารบบสัญญะทางวัฒนธรรม แสดงให้เห็นถึง โครงสร้างระดับลึกและความซับซ้อนทางอัตลักษณ์ ซึง่ ไม่ต่างจากผลผลิตทางวัฒนธรรมระดับสูงในโลก ตะวันตกเช่นการชมละครเช็กสเปี ยร์หรือการอ่านวรรณกรรมคลาสสิก โดยเกียร์ซได้ใช้ศพั ท์ทอ่ี ธิบายถึง ลักษณะทางวรรณศิลป์และสุนทรียภาพ ดังนัน้ การพรรณนาหรือตีความไม่เพียงแต่ ให้ความสําคัญกับ รายละเอียดเท่านัน้ แต่จะต้องมีความลุ่มลึกด้วย 141 โดยว่าการตีความแบบนี้ไม่ใช่เพื่อการสถาปนาหลัก ทฤษฎีหรือหาโครงสร้างความสัมพันธ์ เกียร์ซเห็นว่าเป็ นทฤษฎีท่ี “ติดดิน” มาจากการสังเกตจริง ที่ ปรากฏในพฤติกรรมทางสังคม มากกว่ามาจากหลักสมการคณิตศาสตร์ โดยเกียร์ซให้ความสําคัญกับ การทําความเข้าใจสารบบทางสัญญะของปรากฏการณ์เล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่มคี วามสําคัญและตํ่าชัน้ ในทางวัฒนธรรม อีก ทัง้ ยัง มีนัยของการเชื่อ มรอยแยกระหว่ างวัฒนธรรมระดับสูง และระดับล่ าง ใน บทความปี 1983 เกียร์ซยืนยันว่าแนวโน้มทางการวิจยั วัฒนธรรมและสังคม เป็ นไปในทิศทางทีเ่ รียกว่า เป็ น “blurred genres” ทีก่ ารแบ่งแยกระหว่างสังคมศาสตร์กบั มนุ ษยศาสตร์นัน้ ไม่มคี วามชัดเจน และ ไม่ได้อยูท่ ท่ี ฤษฎีหรือวิธกี ารทีเ่ ป็ นวิทยาศาสตร์มากหรือน้อยกว่าแต่อยูท่ เ่ี ป้าหมาย 142
A
F
1 40
141
D
R
ข้อเขียนด้านวิธกี ารตีความวัฒนธรรมของเกียร์ซมีอทิ ธิพลสูงในหมู่นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ชาวอเมริกนั ในทศวรรษที่ 1980 โดยแนวทางการตีความด้านสัญญะและความหมายของเกียร์ซเข้ามามี อิทธิพลอย่างสูงต่อนักประวัตศิ าสตร์รุ่นใหม่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ นักประวัตศิ าสตร์กลุ่มแรกทีร่ บั อิทธิพลดังกล่าวคือนักประวัตศิ าสตร์ยโุ รปต้นสมัยใหม่ทม่ี หาวิทยาปรินซ์ตนั ซึง่ เกียร์ซสอนอยู่ในทศวรรษ
140
Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 14.
141
Clifford Geertz, "Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight," in The Interpretation of Cultures; Selected Essays(New York,: Basic Books, 1973). เกียรทซ์ยงั ชีใ้ ห้เห็นว่าความแตกต่างกันก็คอื สํานวนของภาษาทีใ่ ช้ในการอธิบายถึงปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมหรือ พฤติกรรม โดยใช้คําเช่น “drama” “role” “game” “play” “text” “story” “manuscript” “rigmarole” กลายมีความสําคัญในทางสังคมศาสตร์ มากขึน้ ขณะทีเ่ กียร์ซชีใ้ ห้เห็นถึงการอุปมาปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมว่าเป็ นเหมือน “language game” ตามวลีของ Wittgenstein 142
Clifford Geertz, Local Knowledge : Further Essays in Interpretive Anthropology (London: Fontana, 1993, 1983).
76
T
ที่ 1970 และงานของนักประวัตศิ าสตร์กลุ่มนี้ส่งผลต่อวิธกี ารศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในวงกว้าง โดยงานที่ถือได้ว่าเปิ ดประตูสู่แนวทางการศึกษาใหม่คอื บท “Workers Revolt: the Great Cat Massacre of the Rue Saint-Séverin” 143 ของโรเบิรต์ ดาร์นตัน (Robert Darnton) โดยเป็ นผลมาจาก เกียร์ซและดาร์นตันสอนวิชาสัมมนาประวัติศาสตร์กบั มานุ ษยวิทยาร่วมกันที่มหาวิทยาลัยปรินซ์ต ัน ดาร์นตันศึกษาเหตุ การณ์ การกระทําตลกร้ายของช่างพิมพ์กลุ่มหนึ่งในโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในปารีสช่วง ทศวรรษที่ 1730 ทีจ่ บั แมวจรจัดและแมวเลีย้ งในย่านนัน้ มาทรมาณและสังหารอย่างเหีย้ มโหดและบันเทิง มีการจําลองศาลตัดสินและลงโทษแมว เพื่อเป็ นการแก้เผ็ดและล้อเลียนเจ้าของโรงพิมพ์และภรรยาทีใ่ ห้ การดูแลช่างพิมพ์เหล่านัน้ ไม่ดพี อ ดาร์นตันมองเหตุ การณ์น้ีในลักษณะการเป็ นพิธกี รรมที่เต็มไป ด้วยสัญญะที่มคี วามหมายหลากหลายและซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับคติชนและความเชื่อเรื่องแมวกับ อํานาจมืด ความนิยมการเลีย้ งสัตว์ ธรรมเนียมปฏิบตั แิ ละชีวติ ประจําวันของช่างพิมพ์ ฯลฯ
R
A
F
ตีความระบบทางสัญญะในการกระทําดังกล่าวว่าสื่อให้เห็นถึงความตึงเครียดในความสัมพันธ์ ระหว่ างเจ้าของโรงพิมพ์แ ละช่ า งพิมพ์รบั จ้า ง ธรรมชาติข องธุ ร กิจการพิม พ์ สํา นึ ก เรื่อ งการทํ างาน ชีวติ ประจําวัน ที่อยู่อาศัยและอาหารการกิน สถานภาพทางสังคม เพศสภาพ ภาพแทนและอัตลักษณ์ รวมไปถึงอุดมคติทางสังคมทีช่ ่างพิมพ์เหล่านัน้ มี ซึง่ เป็ นการสะท้อนให้เห็นในอีกแง่มุมของประวัตศิ าสตร์ ภูมปิ ญั ญายุคแสงสว่าง กล่าวคือแทนทีจ่ ะศึกษาข้อเขียนของปราชญ์และนักเขียนยุคแสงสว่าง กลับหัน มามองที่วฒ ั นธรรมระดับล่างผ่านเหตุการณ์เล็กๆ ซึ่งเทียบได้กบั การชนไก่ในงานของเกียร์ซ โดยเป็ น การมองในแง่มุมมานุ ษยวิทยาให้เห็นถึงพลวัตของวัฒนธรรมในระดับล่างลงไป ดาร์นตันดึงเอาคติชน และขนบธรรมเนียมทีเ่ กี่ยวข้องกับสัตว์ ความรุนแรงและการล่าแม่มดเข้ามาทําความเข้าใจระบบสัญญะ ในเหตุการณ์ดงั กล่าว โดยทําความเข้าใจในบริบทของการเติบโตของตลาดสิง่ พิมพ์และการขยายตัวของ ผู้อ่ าน รวมถึง การแตกตัวทางชนชัน้ ช่างฝี มอื ผ่ านช่างพิมพ์ เหตุ ก ารณ์ ด งั กล่ าวแสดงให้เ ห็นถึง การ ปฏิสมั พันธ์ทางสัญญะผ่านความรุนแรง
D
ข้อแตกต่างสําคัญระหว่างวิธกี ารทางมานุ ษยวิทยาของงานชิน้ นี้กบั วิธแี บบมานุ ษยวิทยาในงาน histoire des mentalité ของสํานักอานาลส์เช่น Montaillou ของลี รัว ลาดูร ี ซึง่ ให้ความสําคัญกับสภาวะ ความเป็ นอยู่ การทํากินและความสัมพันธ์ทางสังคมของชาวหมู่บ้าน รวมถึงมโนทัศน์ ทางศาสนาและ ค่านิยมในหลายๆด้าน ส่วนดาร์นตันสนใจระบบทางสัญญะและการให้ความหมายผ่านเหตุการณ์เล็กๆ ในเชิงอรรถดาร์นตันชีว้ ่านักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสที ่ เ่ อนไปทางมานุ ษยวิทยามักรับอิทธิพลมาจากแนวคิด
143
Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History, 75-104.
77
โครงสร้างนิยมหรือหน้าทีน่ ิยม ไม่ได้รบั อิทธิพลจากแนวคิดปฏิสมั พันธ์ทางสัญญะ จึงไม่ค่อยสนใจเรื่อง การตีความมากนัก ขณะทีน่ ักมานุ ษยวิทยาอเมริกนั มักไม่ให้ความสําคัญกับระบบโครงสร้างมากนัก แต่ สนใจที่ค วามหมาย ดัง ที่เ บ่ ง บานมากที่สุ ด ในงานของเกีย ร์ซ สะท้ อ นให้ เ ห็น ถึง ทิศ ทางของสาขา มานุ ษยวิทยาฝรังเศสและอเมริ ่ กาทีแ่ ตกต่างกัน 144 บทความของดาร์นตันยังถือได้ว่าใช้กรอบวิธ ี หลัก ญาณวิทยาและทฤษฎีทางวัฒนธรรมทางมานุ ษยวิทยาที่เข้มข้นกว่า histoire des mentalité มาก โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการทํางานของสัญญะและการตีความ ด้วยวิธกี ารนํ าเอา “ตัวบท” (text) วางใน “บริบท” (context) เพื่อให้เกิดความหมายและทําความเข้าใจการแสดงออกหรือคติทเ่ี ต็มไปด้วยความ ทารุณและหยาบเถื่อน 145
T
143
144
F
นักประวัตศิ าสตร์ทใ่ี ช้วธิ กี ารทางมานุ ษยวิทยาซึง่ มีงานในทศวรรษที่ 1970 อย่างนาตาลี ซีมอน เดวิส (Natalie Zemon Davis) ใน The Return of Martin Guerre (1983) 146 ก็ใช้เหตุการณ์เล็กๆเพื่อทํา ความเข้าใจระบบคุณค่าและความรูส้ กึ ของชุมชนชาวนาในฝรังเศสศตวรรษที ่ ่ 16 มีงาน The Family Romance of the French Revolution (1992) 147 ของลินน์ ฮันท์ (Lynn Hunt) ทีศ่ กึ ษาเรื่องราวและคติท่ี เกี่ยวข้องกับครอบครัวในช่วงปฏิวตั ฝิ รังเศส ่ ผ่านสื่อสิง่ พิมพ์ในช่วงนัน้ ชีว้ ่าสะท้อนให้เห็นถึงระบบของ ความหมายทีเ่ กี่ยวข้องกับความเป็ นการเมืองในช่วงเปลีย่ นผ่าน ระเบียบและลําดับทางสังคม ทัศนะต่อ อํ า นาจ วัฒ นธรรมการเมือ งและมโนทัศ น์ เ รื่อ งบทบาทของหญิ ง และชาย ผ่ า นการตี ค วามเชิ ง มานุษยวิทยาของฮันท์ทไ่ี ด้รบั อิทธิพลจากทฤษฏีของซิกมันด์ ฟรอยด์ อีกทัง้ ยังสนใจในแง่ของวาทกรรม ว่าด้วยครอบครัวในการให้ความหมายในทางวัฒนธรรมในช่วงเปลีย่ นผ่าน
A
146
D
R
แนวทางการตีความวัฒนธรรมของเกียร์ซเปิดประตูให้นกั ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมสามารถศึกษา วัฒนธรรมประชาชน (popular culture) และวัฒนธรรมของคนระดับล่างทางสังคมในแง่มุมทางสัญญะ และความหมายไม่ต่างจากสัญญะ รวมถึงความหมายของเหตุการณ์ทางการเมืองที่มคี วามสําคัญ ต่าง จากการศึกษาสัญญะตามแนวทางโครงสร้างนิยมทีส่ นใจศึกษา “ความสัมพันธ์ของภาพแทน” (relations of representation) เพื่อเข้าใจมโนทัศน์ในการเชื่อมโยงคุณค่าพื้นฐานในชีวติ ในลักษณะสมการขัว้ ตรง ข้าม ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมควรมองว่าคนเราดํารงชีวติ และมีประสบการณ์อยู่กบั สัญญะในลักษณะ
144 145 146 147
Darnton, The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History, 283. Roger Chartier, "Text, Symbols, and Frenchness," The Journal of Modern History 57, no. 4 (1985): 683-684. Natalie Zemon Davis, The Return of Martin Guerre (Cambridge, Mass. ; London: Harvard University Press, 1983). Lynn Hunt, The Family Romance of the French Revolution (Berkeley: University of California Press, 1992).
78
พืน้ ฐาน กล่าวคือไม่ใช่ดว้ ยความเข้าใจหลักหรือสมการ แต่เป็ นการค้นหาและทําความเข้าใจความหมาย ซึง่ สอดคล้องกับความเข้าใจสัญญะของนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างฮุยซิงกา 148 ข้อแตกต่างของนัก ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมรุ่นใหม่กบั ยุคคลาสสิกคือ ความสามารถศึกษาโดยตัดผ่านวัฒนธรรมระดับบน และล่างโดยยังคงตระหนักถึงความแตกต่างและการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน สามารถข้ามห้วงเหวทีเ่ ป็ น ปญั หาใหญ่ของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมาโดยตลอด ต่างจากประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมคลาสสิกทีส่ นใจ วัฒนธรรมระดับบน ทัง้ ยังมองสัญญะว่าเป็ นเรือ่ งของความละเมียดละไมทางวัฒนธรรม 147
A
F
T
อีกทัง้ ต่างจากการศึกษาวัฒนธรรมของประวัตศิ าสตร์สงั คม 2 สํานักใหญ่ท่กี ล่าวมาซึง่ มองว่า วัฒ นธรรมเป็ น ผลสะท้อ นโครงสร้า งใหญ่ (อานาลส์) หรือ มองว่ า เป็ น ของชนชัน้ (มาร์ก ซิส ม์) นั ก ประวัตศิ าสตร์ท่เี ดินตามเกียร์ซสามารถศึกษาวัฒนธรรมโดยเป็ นอิสระจากการมองที่ “ข้อมูล” เพื่อมุ่ง สถาปนาภาพโครงสร้างหรือแบบแผนทางวัฒนธรรม สามารถทํางานกับความกํากวมของหลักฐานใน หลายรูป แบบซึ่ง เคยถู ก ตัง้ ตํ า ถามเรื่อ งความน่ า เชื่อ ถือ หรือ ถู ก ละเลยเพราะเป็ น กรณีผ ิด แปลก นั ก ประวัติศาสตร์สามารถเน้ นที่ “ตัวบท” ที่ไม่ได้มคี วามสําคัญในห่ว งโซ่ของสาเหตุ ผ ลลัพธ์หรือบ่งบอก ลักษณะทางโครงสร้าง อีกทัง้ สามารถศึกษาเหตุการณ์ พิธกี รรมหรือการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่ผดิ แปลกและไม่ เ ป็ น ที่รู้จ ัก เนื่ อ งจากสามารถเปิ ด เผยให้ เ ห็น ถึง ความหมายอัน ยอกย้อ นซับ ซ้ อ นใน สารบบทางวัฒนธรรมของสังคมนัน้ ๆ ดังทีน่ ักประวัตศิ าสตร์สามารถศึกษาบันทึกการฆ่าแมวเพื่อความ บันเทิงของช่างพิมพ์รบั จ้างที่โรงพิมพ์ในกรุงปารีส ศึกษาเรื่องกรณีการสวมรอยเป็ นชาวนาคนหนึ่งใน ศตวรรษที่ 16 สามารถศึกษาข่าวลือหรือมายาคติแปลกๆ ทีผ่ ุดขึน้ สัน้ ๆ ในช่วงการปฏิวตั ฝิ รังเศส ่
D
R
การศึกษาวัฒนธรรมผ่านสัญญะซึ่งปรากฏให้รบั รูใ้ นพื้นที่สาธารณะ ผ่านเหตุการณ์ พิธกี รรม หรือวัตถุ ไม่ได้มองวัฒนธรรมในภาพกว้างว่าเป็ น “ทุกแง่มุมของวิถชี วี ติ ” (whole way of life) ตามทีว่ ลิ เลียมส์เสนอ หรือเป็ นการมองหาภาวะความเป็ นซับเจคที่ซ่อนอยู่ตามแบบฟูโก ทําให้กรอบการศึกษา สัญญะแบบเกียร์ซได้รบั การยอมรับมากในหมู่นักประวัตศิ าสตร์ อีกทัง้ หากมองในประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ ของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม เห็นได้ว่าเป็ นการนํ าการพรรณนาความหมายของสัญญะซึ่งเป็ นลักษณะ สําคัญของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมคลาสสิก หากแต่เป็ นการมองสัญญะในลักษณะที่เป็ นระบบมากขึน้ (หากเปรียบทียบกับประวัตศิ าสตร์สงั คมและแนวคิดโครงสร้างนิยม อาจกล่าวได้ว่าดูไร้ระบบ) อีกทัง้ เป็ น ทางออกจากคําวิจารณ์ histoire des mentalité ทีม่ องว่าวัฒนธรรมมีลกั ษณะเป็ นสิง่ ที่อยู่ในและนอก สํานึกซึง่ มีร่วมกันซึง่ ถูกสภาวะสังคมกําหนดและบีบรัด โดยเกียร์ซให้ความสําคัญกับการทําความเข้าใจ 148
Robert Darnton, "Review: The Symbolic Element in History," The Journal of Modern History 58, no. 1 (1986): 221.
79
สารบบของสัญญะทีเ่ ปิ ดทางสู่ความเป็ นไปได้ของการตีความทีห่ ลากหลายและลื่นไหล ขณะทีก่ ารศึกษา “วาทกรรม” ในประวัตศิ าสตร์ตามแบบมิเชล ฟูโกถูกวิจารณ์อย่างหนักในวงวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์ ในแง่ท่ฟี ู โ กมองว่ า “ข้อ เท็จจริง ” เป็ นสิ่ง ซึ่งถูก ประกอบสร้างขึ้นมา 149 อย่างไรก็ด ีนัก ประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรมชาวอเมริกนั ยังได้รบั อิทธิพลจากทฤษฎีฝรังเศสรวมถึ ่ งความสนใจตามแบบมิเชล ฟูโ กใน ทางอ้อม กล่าวคือให้ความสนใจกับสิง่ ที่อาจกล่าวได้ว่ามิตขิ องการกดเก็บในทางสังคมและในทางอารย ธรรมหรือ “return of the repressed” ผ่านความสนใจการค้นหาความหมายในหลายระดับ และในด้าน ประเด็นศึกษากีเ่ กีย่ วข้องกับสภาวะชายขอบ
T
1 4 8
วิธกี ารตีความสัญญะในวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่ อนักประวัติศาสตร์ในหลายระดับทัง้ ในทางตรง ทางอ้อม รวมถึงในลักษณะผิวเผิน อีกทัง้ มีนกั ประวัตศิ าสตร์จาํ นวนไม่น้อยทีใ่ ช้วลี “thick description” ในลักษณะที่ขดั แย้งกับวิธกี ารที่เกียร์ซเสนอ ซึ่งความสนใจสัญญะในประวัตศิ าสตร์ ซึ่งมีส่วนทําให้นัก ประวัติศ าสตร์ล ะเลยมิติอ่ ืนๆ ที่ประวัติศ าสตร์ส งั คมเคยสนใจ 150 ข้อ วิจารณ์ อีก ประการหนึ่ งจากนัก ประวัตศิ าสตร์ท่รี บั วิธกี ารตีความวัฒนธรรมจากเกียร์ซ คือการผนวกรวมความเป็ นสาเหตุ (causation) เข้ากับความหมาย (meaning) ราวกับว่าเป็ นสิง่ เดียวกัน ซึ่งมีส่วนในการก่ อให้เกิดข้อจํากัดในการ อธิบายกระบวนการหรือกลไกทีก่ ่อให้เกิดความเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม 151 ทําให้ปจั จัยหรือ องค์ประกอบทุกอย่างกลายเป็ นบริบทการตีความทางสัญญะ ส่งผลให้มองไม่เห็นความเป็ นสาเหตุไม่ว่า ในเชิงเหตุ การณ์ หรือโครงสร้างซึ่งเป็ นหัวใจสําคัญอันหนึ่งของสาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ อีกทัง้ ยังขาด ความเข้าใจและมองไม่เห็นถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของแต่ละปจั เจก คนแต่ละกลุ่มและของ แต่ละสังคม ซึ่งแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและสถานที่ ซึ่งข้อบกพร่องดังกล่าวปรากฏชัดในงานของ
F
1 4 9
R
A
150
149
D
แต่หากมองอิทธิพลของเกียร์ซในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ในภาพรวม พบว่าวิธกี ารของเกียร์ซถูกวิพากษ์วจิ ารณ์จากหลาย สํานัก ในช่วงเวลาของการปะทะกันทางทฤษฎีในทศวรรษที่ 1970 ฝ่ายโครงสร้างนิยมวิจารณ์ว่าขาดระบบและเป็ นการวิเคราะห์ทข่ี าด หลักการ ส่วนฝา่ ยทีไ่ ด้รบั อิทธิพลจากแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมมองว่าอนุ รกั ษ์นิยมเกินไป ส่วนทางฝ่ายมาร์กซิสม์กก็ ล่าวว่าวิธกี ารของ เกียร์ซเป็ นจิตนิยมโดยมองข้ามสภาวะการเมือง เศรษฐกิจและขาดความเป็ นประวัติศาสตร์ ดู Ann Swidler, "Geertz's Ambiguous Legacy," Contemporary Sociology 25, no. 3 (1996). 150
สําหรับข้ออภิปรายเรื่องนักประวัตศิ าสตร์รบั เอาทฤษฎีหรือวิธตี คี วามของเกียร์ซ ดู Stuart Clark, "Thick Description, Thin History: Did Historians Always Understand Clifford Geertz?," in Interpreting Clifford Geertz : Cultural Investigation in the Social Sciences, ed. Jeffrey C. Alexander et al.(New York: Palgrave Macmillan, 2011). 151
Aletta Biersack, "Local Knowledge, Local History: Geertz and Beyond," in The New Cultural History, ed. Lynn Hunt and Aletta Biersack(Berkeley ; London: University of California Press, 1989), 79-80; Giovanni Levi, "On Microhistory," in New Perspectives on Historical Writing, ed. Ulick Peter Burke(University Park, Pa.: Pennsylvania State University Press, 1992), 105.
80
ดาร์นตัน 152 ข้อวิจารณ์สําคัญอีกประการหนึ่งมาจากโรเจอร์ ชาติเยร์ทช่ี ใ้ี ห้เห็นถึงปญั หาทางญาณวิทยา ความเป็ น “ตัวบท” ของงานทัง้ สองชิ้นมีความแตกต่ างกันมาก โดยความรู้ในแบบมานุ ษยวิทยาของ เกียร์ซในกรณี ชนไก่ มาจากการสัง เกตแบบมีส่ว นร่ ว ม ซึ่ง แตกต่ า งจากความเป็ น งานประพัน ธ์ข อง ข้อเขียนหรือหลักฐานทีบ่ รรยายการสังหารแมว ซึ่งดาร์นตันไม่ได้พจิ ารณาความเป็ นงานประพันธ์ในแง่ ขนบของงานประพันธ์แต่ละประเภทซึ่งมีส่วนในการกําหนดเนื้อหาและความหมายของสัญญะในตัวบท ซึง่ ทําให้การนํ ากรอบวิธแี บบมานุ ษยวิทยาเข้ามาในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ในลักษณะดังกล่าวอาจเป็ น ปญั หาได้ 153 151
T
1 52
จุลประวัติศาสตร์ (Microstoria) ในอิ ตาลี
F
คําแปลภาษาอังกฤษของ microstoria ว่า “microhistory” เป็ นคําที่ถูกใช้บ่อยครัง้ เพื่อกล่าวถึง ประวัตศิ าสตร์ทส่ี นใจขอบเขตหรือหน่ วยศึกษาขนาดเล็ก คําว่า microhistory จะปรากฏในภาษาอังกฤษ ก่ อ น แต่ ก็ ม ีค วามหมายในลัก ษณะของหน่ ว ยการศึ ก ษาเท่ า นั ้น ไม่ ไ ด้ ม ีนั ย ของวิธ ีก ารทางด้ า น มานุ ษยวิทยา 154 ต่ อมาคําว่า microhistory ยังรวมถึงงานของนักประวัติศาสตร์ท่ใี ช้การตีความเชิง มานุ ษยวิทยาที่ศึกษาหน่ วยเล็กเช่น เหตุ การณ์ ชุมชน ครอบครัวหรือปจั เจก โดยไม่ได้สนใจเพียง ประวัตศิ าสตร์หรือวัฒนธรรมท้องถิน่ แต่สนใจประเด็นศึกษาและคําถามทางด้านมานุ ษยวิทยา ดังเช่นที่ ปรากฎในงานของ เอ็มมานูเอล ลี รัว ลาดูร,ี นาตาลี เดวิสและโรเบิรด์ ดาร์นตัน โดยอาจรวมถึง Whigs and Hunters: The Origin of the Black Act (1975) ของเอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั ด้วย 155 แต่ microstoria ของ ประวัตศิ าสตร์แบบอิตาลีมลี กั ษณะเฉพาะซึง่ นอกจากจะเป็ นการวิพากษ์การศึกษาภาพใหญ่เชิงปริมาณ ของประวัตศิ าสตร์สงั คม ยังเป็ นการก้าวข้ามการศึกษาประวัตศิ าสตร์เชิงมานุ ษยวิทยาแบบ histoire des mentalités ของสํานักอานาลส์ ดังนัน้ microstoria จึงไม่ใช่เพียงการปรับเปลีย่ นขอบเขตทางด้านเวลา และพื้นที่ให้เล็กลงหรือเป็ นการเปลี่ยนขนาดเลนส์เพื่อขยายภาพ หากแต่เป็ นการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา หรือสาระสําคัญของการค้นคว้าทางประวัตศิ าสตร์ดว้ ย 154
D
R
A
1 5 3
152 153 154 155
Levi, "On Microhistory," 104. Chartier, "Text, Symbols, and Frenchness," 690. Carlo Ginzburg, "Microhistory: Two or Three Things That I Know About It," Critical Inquiry 20, no. 1 (1993): 11.
ดู Sigurður G. Magnússon and István Szíjártó, What Is Microhistory? : Theory and Practice (Milton Park, Abingdon, Oxon: Routledge, 2013).
81
A
F
T
โดยแนวคิดเรื่องวิธกี ารศึกษาของ microstoria พัฒนาขึน้ ในอิตาลีช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึง่ เป็ น ช่วงเวลาและพืน้ ทีท่ ม่ี คี วามสําคัญในข้อถกเถียงหลายชุดว่าด้วยประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมและภูมปิ ญั ญา โดยนักประวัตศิ าสตร์กลุ่มนี้อยู่ในกระแส “ประวัตศิ าสตร์จากเบื้องล่าง” (history from below) นัก ั ่ ายและมีพน้ื ฐานมาจากแนวคิดมาร์กซิสม์ นักประวัตศิ าสตร์ใน ประวัตศิ าสตร์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาจากฝงซ้ อิตาลีได้รบั ผลกระทบทางความคิดจากการทบทวนทฤษฎีมาร์กซิสม์ รวมถึงอิทธิพลจากแนวคิดทาง วัฒนธรรมของแกรมซี microstoria มีบทบาทสําคัญในการวิพากษ์กรอบวิธที างด้านประวัตศิ าสตร์สงั คม ของสองสํานักใหญ่อย่างอานาลส์และมาร์กซิสม์ แม้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันประวัตศิ าสตร์สงั คมในอิตาลี ไม่ ไ ด้ม สี ถานะเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของวิช าการประวัติศ าสตร์ก ระแสหลัก ดัง เช่ น ในฝรังเศส ่ อัง กฤษและ สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ด ี microstoria ยังมีส่วนสําคัญในการวิจารณ์ประวัตศิ าสตร์สงั คม และชีใ้ ห้เห็นถึง ความสําคัญและบทบาทของส่วนทีเ่ ป็ นวัฒนธรรมในประวัตศิ าสตร์สงั คมตามแนวทางทีเ่ อ็ดเวิรด์ ทอมป์ สันได้เสนอเอาไว้ อีกทัง้ ยังชีใ้ ห้เห็นว่าคนชัน้ ล่างมีสถานะเป็ นตัวกระทําผ่านการศึกษาความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมซึ่งมีส่ว นสําคัญในการงัดง้างกับอํานาจข้างบน microstoria มีบทบาทสําคัญในการ วิพากษ์ประวัตศิ าสตร์แบบสังคมศาสตร์ท่อี ิงโครงสร้างและประวัตศิ าสตร์ท่มี องความก้าวหน้ าในภาพ ใหญ่ ของทัง้ สองสํานัก จากการนํ าอิทธิพลของวิธกี ารและขอบเขตการศึกษาจากมานุ ษยวิทยาเข้ามา microstoria มีส่วนในการเสนอข้อถกเถียงว่าด้วยแนวทางด้านวิธกี ารประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ซึ่ง สอดคล้องกับแนวทางทีค่ ลิฟฟอร์ด เกียร์ซเสนอไว้ ซึง่ นักประวัตศิ ษสตร์กลุ่มนี้กถ็ อื ว่าเกียร์ซเป็ นหนึ่งใน อิทธิพลทีส่ าํ คัญ โดยเฉพาะในด้านขอบเขตและสาระสําคัญของการศึกษาหน่วยเล็ก
D
R
microstoria นํ าโดยคาร์โล กินส์เบิรก์ (Carlo Ginzburg) และจีโอวานนี ลีว ี (Giovanni Levi) ซึง่ ทัง้ สองสนใจชาวชนบทอิตาลีในช่วงต้นสมัยใหม่ จีโอวานนี ลีวสี นใจเครือข่ายทางสังคมและมิตทิ างด้าน เศรษฐกิจของชาวนาในชนบทของอิตาลี ส่วนงานของคาร์โล กินส์เบิรก์ สนใจด้านวัฒนธรรมผ่านกรอบ การอธิบายเชิงมานุ ษยวิทยา กินส์เบิรก์ มีงานทีส่ ําคัญในด้านวิธกี ารเชิงมานุ ษยวิทยาได้แก่ The Night Battles156 ซึง่ กินส์เบิรก์ ศึกษาความเชื่อและลัทธิทอ้ งถิน่ ในฟรีอูลชี ่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ของกลุ่มคน ที่ถูกเรียกว่า benandanti ที่เ กิดมาพร้อมถุ งนํ้ าครํ่าปกคลุมศีรษะเหมือ นผ้าคลุม เชื่อว่าเป็ นคนมีพลัง พิเ ศษสามารถถอดจิต ออกจากร่างขณะหลับในช่ ว งเวลาพิเ ศษของปี เพื่อ มาต่ อสู้ก ับแม่มดร้ายที่มา คุกคามความอุดมสมบูรณ์ คนเหล่านี้ถูกนํ าขึน้ ศาลศาสนาจากข้อกล่าวหาว่าเป็ นลัทธินอกรีตและเป็ นแม่ มดเนื่องจากทางศาลศาสนาเห็นว่าเป็ นการบูชาซาตาน นักประวัตศิ าสตร์ศาลศาสนามองว่าเป็ นสิง่ ทีศ่ าล
156
Carlo Ginzburg, The Night Battles: Witchcraft and Agrarian Cults in the Sixteenth and Seventeenth Centuries (Baltimore: Johns Hopkins University Press, 1983) ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในภาอิตาลีภายใต้ชอ่ื I benandanti, 1966.
82
ศาสนาสร้างขึ้นเช่นเดียวกับการล่าแม่มด ไม่ได้มองว่าเป็ นชุดความเชื่อหรือลัทธิพธิ ี จากการศึกษา บัน ทึก ศาลศาสนาและเปรีย บเทีย บกับ ความรู้เ รื่อ งผู้ม ีนิ ม ิต และคติช นในแถบนั ้น กิน ส์เ บิร์ก ชี้ว่ า benandanti เชื่อ มโยงกับลัท ธิโ บราณที่ห ลงเหลือ มาก่ อ นยุค คริส เตีย น จากการค้น คว้า คติชนอย่ า ง กว้างขวางและการอ่านเอกสารศาลศาสนา ผ่านวิธกี ารวิเคราะห์แบบมานุ ษยวิทยา กินส์เบิรก์ แสดงให้ เห็นว่าคติและธรรมเนียมมีการไหลลื่นและส่งผ่านข้ามพืน้ ทีแ่ ละกาลเวลาสูงกว่านักประวัตศิ าสตร์ท่านอื่น ค่อนข้างมาก
R
A
F
T
ส่ ว นงานถือ ว่ า เป็ น ที่รู้จ กั มากที่สุ ด และที่ส ร้า งข้อ ถกเถีย งในเชิง วิธ ีก ารด้ า นประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรมที่สําคัญคือ The Cheese and the Worms ของคาร์โล กินส์เบิรก์ ซึ่งตีพมิ พ์ครัง้ แรกในปี 1976157 งานชิน้ นี้เป็ นงานเชิงชีวประวัตขิ องเจ้าของโรงโม่ในหมู่บา้ นมอนตีรลี แคว้นฟรีอูล ี ในศตวรรษที่ 16 นามว่ามีน็อกกีโอ (Menocchio) ซึง่ ถูกนําขึน้ ศาสนาสอบสวนในข้อหามีความเชื่อนอกรีต หลังจากนัน้ 15 ปี ถูกสอบสวนอีกครัง้ และถูกตัดสินให้เผาทัง้ เป็ น เอกสารการสอบสวนมีความยาวกว่ากรณีปกติ หลายเท่าเนื่องจากทางศาลต้องการสืบหาต้นตอและผูร้ ว่ มลัทธิแต่ไม่พบ ในคําให้การมีน็อกกีโอกล่าวถึง แนวคิดจักรวาลวิทยาของตนทีป่ ระกอบด้วยการกําเนิดทูตสวรรค์จากภาพของหมู่หนอนทีค่ ลานออกมา จากเนยแข็งเก่ าและหลักความเชื่อแปลกๆ โดยมีน็อกกีโออ้างว่าได้มาจากการอ่ านหนังสือหลายเล่ม โดยทัวไปดู ่ เหมือ นมาจากคนไม่ปกติทางจิต หรือไม่เ ป็ นเหตุ เ ป็ นผลนัก จากบันทึก การสอบสวนศาล ศาสนา กินส์เบิรก์ สืบสาวหาที่มาทางความคิดจากหนังสือที่อาจผ่านตาของมีน็อกกีโอ รวมถึงทําความ เข้าใจการอ่ าน การตีความและการผสมความคิดของมีน็อกกีโอในลักษณะมานุ ษยวิทยาของการอ่ าน ผูเ้ ขียนเปิ ดให้เห็นถึงความเป็ นไปได้ของพลวัตของวัฒนธรรมและความรูใ้ นช่วงศตวรรษที่ 16 ทีไ่ หลลื่น และมีการแลกเปลีย่ นในหลายระดับ ทัง้ จากวัฒนธรรมมุขปาฐะและวัฒนธรรมการเขียน
D
ั ญาระดับ ล่ า งและ กิน ส์เ บิร์ก ศึก ษาการไหลเวีย นและผสมกัน ระหว่ า งวัฒ นธรรมและภู ม ิป ญ ระดับ บน ระหว่ า งทัง้ ความเชื่อ และคติช นพื้น บ้า นกับ ชุ ด ความคิด จากปรัช ญาและการปฏิว ัติท าง วิทยาศาสตร์ ระหว่างหลักข้อเชื่อคริสต์ศาสนาและแนวคิดปรัชญายุคคลาสสิก ระหว่างวัฒนธรรมมุข ปาฐะและวัฒนธรรมการเขียนอ่ านจากการขยายตัวของการพิมพ์ในศตวรรษที่ 16 ระหว่างวัฒนธรรม ชนบทและวัฒนธรรมเมือง ผ่านคําสอบสวนมีน็อกกีโอในการอธิบายถึงความคิดและหลักความเชื่อของ
157
Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller. ตีพมิ พ์ครัง้ แรกในภาอิตาลีภายใต้ช่อื Il formaggio e I vermi, 1976.
83
ตน จากการอ่านและทําความเข้าใจหนังสือหลายเล่มทีอ่ าจผ่านมือหรือผ่านหูของมีน็อกกีโอ 158 ผนวกกับ คติชนท้องถิน่ สภาวะสังคมในแถบนัน้ และสถานภาพทางสังคมของเจ้าของโรงโม่อย่างมีน็อกกีโอ กินส์ เบิรก์ วิเคราะห์การก่อรูปทางความคิดของมีน็อกกีโอว่าชีใ้ ห้เห็นถึงพลวัตของความรูใ้ นหลายระดับทีก่ ว้าง กว่าท้องถิน่ และมากกว่าวัฒนธรรมมุขปาฐะ กินส์เบิรก์ ชี้ว่าความคิดจักรวาลทัศน์ พกิ ลเหล่านัน้ ไม่ได้มา จากความเพีย้ นของมีน็อกกีโอ แต่เป็ น “การเผชิญหน้าระหว่างสิง่ พิมพ์กบั วัฒนธรรมมุขปาฐะทีก่ ่อให้เป็ น ส่วนผสมอันตรายในหัวของมีน็อกกีโอ” 159 กินส์เบิรก์ ชีใ้ ห้เห็นถึงความเป็ นไปได้ว่าพลวัตทางวัฒนธรรม ในยุคนัน้ มีมากกว่าทีน่ กั ประวัตศิ าสตร์ตน้ สมัยใหม่เคยมองว่าวัฒนธรรมมุขปาฐะและหนังสือแยกจากกัน 157
T
158
A
15 9
F
นอกจากนี้ยงั ชีใ้ ห้เห็นว่าเจ้าของโรงโม่ผู้ท่อี าจมีทกั ษะการอ่านตํ่าหรือระดับพื้นฐานมากอย่างมี น็อกกีโอ ไม่ได้เป็ นเพียงผู้ “รับ” ทางความคิด แต่เป็ นฝ่ายกระทําการกล่าวคือเป็ นเหมือน “ทีก่ รอง” ทาง ความคิดทัง้ ในแง่การเลือกสรร บิดเบือน ประสานและตีความ เนื่องจากความเปลีย่ นแปลงทางความคิดที่ เป็ นผลจากการปฏิรปู ศาสนาการคิดค้นแท่นพิมพ์ และมีบรรยากาศทางความคิดทีเ่ ห็นถึงความเป็ นไปได้ ของการท้าทายจารีตเดิม มีการโต้แย้ง และทําให้ความคิดและวัฒนธรรมที่ต่างออกไปเกิดขึน้ ปะทุข้นึ และเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว 160 ทัง้ ยังแสดงให้เห็นว่าเนื่องจากสภาพการเมือง สังคมและความคิดใน อิตาลีช่วงศตวรรษที่ 16 เป็ นพืน้ ทีแ่ ละช่วงเวลา ทีค่ วามคิดและประสบการณ์ของคนธรรมดาสามารถก้าว กระโดดออกจากสิง่ ทีน่ กั ประวัตศิ าสตร์มองว่าเป็ นกรอบหรือข้อจํากัดของคนแต่ละยุค
D
R
กินส์เบิรก์ วิจารณ์นกั ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมส่วนใหญ่ทย่ี งั คงยึดกับนิยามและแนวคิดวัฒนธรรม ในลักษณะจํากัดกับชนชัน้ สูง และมองวัฒนธรรมชนชัน้ ล่างว่าเป็ นผูร้ บั ความคิดและค่านิยมจากด้านบน เป็ นเหตุทม่ี องวัฒนธรรมชนชัน้ ล่างว่าเป็ นความเสื่อมหรือบิดเบีย้ วจากกระบวนการส่งผ่าน หรือมองว่า เป็ นการรับหรือถูกยัดเยียดเพื่อการกดขีท่ างชนชัน้ แบบแนวคิดมาร์กซิสม์ นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม อีกกลุ่มมองวัฒนธรรมชนชัน้ ล่างแบบโรแมนติก กล่าวคือมองว่าเป็ นการแสดงออกที่เกิดขึน้ เองมาจาก ภายในชุมชนและเป็ นอิสระจากการกดขีจ่ ากภายนอก เป็ นวัฒนธรรมประชาชนทีแ่ ท้จริงซึง่ ฝงั รากลึกอยู่
158
ตัวอย่างรายชื่อหนังสือที่กนิ ส์เบิร์กชี้ว่าอาจผ่านมาสู่ความคิดของมีน็อกกีโอ เช่น ไบเบิลภาษาถิ่น, Decameron ของโบคาชชิโอ (Boccaccio) หนังสือบันทึกการเดินทางของเซอร์ จอห์น แมนเดอวิลล์ (Sir John Mandeville) ฉบับภาอิตาเลียน, Divine Comedy ของ Dante, คัมภีร์อลั กุรอ่ านฉบับภาษาอิตาลี รวมถึงบทกวี วรรณกรรมคริสต์ศาสนา ข้อเขียนเชิงปรัชญา และหนังสือประมวลเหตุ การณ์ นอกจากความแตกต่างทางทีม่ าและฐานความคิดแล้ว ความหลากหลายของ genre ยังเป็ นประเด็นสําคัญทีท่ ําให้แนวคิดของมีน็อกกีโอมี ลักษณะประหลาดสูง 159 160
Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, 24. Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, 28.
84
ในค่านิยมและความเชื่อรากฐานของชุมชนนัน้ ๆ กินส์เบิรก์ มองวัฒนธรรมในแนวทางของแกรมซี ทีเ่ ห็น ว่าชนชัน้ ล่างทางสังคมไม่ได้เป็ นเพียงฝา่ ยรับความคิดและค่านิยมจากชนชัน้ สูงในการกดขี่ แต่เป็ นฝ่ายที่ มีความริเริม่ ทางความคิดและวัฒนธรรมสามารถงัดง้างกับอํานาจเบือ้ งบน ทําให้เห็นว่าในทางวัฒนธรรม นัน้ มีความสัมพันธ์ทเ่ี ป็ นทัง้ ฝา่ ยรับและฝ่ายให้ 161 1 60
T
การใช้เอกสารสอบสวนศาลศาสนาของกินส์เบิรก์ มีความแตกต่างจากลี รัว ลาดูรใี น Montaillou มาก โดยเฉพาะกรอบในการศึกษาวัฒนธรรม กินส์เบิรก์ มองพลวัตและการส่งผ่านทางวัฒนธรรมและ ความคิดในหลายระดับและมีความซับซ้อ นสูง ขณะที่ล ี รัว ลาดูรศี ึกษาค่ านิยมและวัฒนธรรมที่อ าจ เรียกว่าเป็ นลักษณะพืน้ บ้านของชาวนาในแถบนัน้ ในลักษณะค่อนข้างหยุดนิ่งไม่ได้เห็นพลวัต อีกทัง้ ยัง แตกต่างจากแนวคิด outillage mental ของลุเชียง เฟบวร์มาก ซึง่ เฟบวร์ชว้ี ่ามีสถานะเป็ นเหมือนกรอบ หรือ คลังเครื่อ งมือทางความคิดที่มใี นแต่ ละยุค 162 แต่ กินส์เ บิร์กชี้ให้เ ห็นว่าพลวัตทางความคิดมีการ ส่งผ่านทีไ่ หลลื่นมากจากหลายพืน้ ที่ ต่างเวลาและปริมณฑลทางความคิด ทําให้การสถาปนาหรือสํารวจ คลังเครือ่ งมือทางความคิดเป็ นไปไม่ได้ อีกทัง้ กินส์เบิรก์ ยังยํา้ ให้เห็นว่าคนอย่างมีน็อกกีโอไม่ได้เป็ นเพียง ผูท้ ่อี ยู่ในกรอบจํากัดของคลังเครื่องมือแต่เป็ นผูก้ ระทําทางความคิด มีลกั ษณะเฉพาะทางความคิดและ การใช้ภาษาที่แตกต่ างจากสามัญชนและต่ างจากผู้มกี ารศึก ษา ความสนใจศึกษาชนชัน้ ล่างในฐานะ บุคคลทีไ่ ม่ได้มคี วามสําคัญ บุคคลทีอ่ ยู่ในโลกใบเล็กซึง่ สามารถชีใ้ ห้เห็นถึงลักษณะสําคัญของลําดับชัน้ ของสังคมในภาพใหญ่ได้ หากแต่ไม่ใช่ในลักษณะของตัวแทนหรือลักษณะร่วมของชาวชนบททัวไป ่ แต่ เป็ นความพิเศษของการผลักข้อจํากัด กฎและกรอบทางด้านวัฒนธรรมและความคิด หรือเป็ นตัวแทนใน แง่ทต่ี รงข้ามหรือชายขอบ 163 แฟรงค์ แองเกอร์สมิทเปรียบการศึกษาประวัตศิ าสตร์ลกั ษณะนี้ว่า แทนที่ จะศึกษาลําต้นหรือกิง่ ก้านสาขา แต่เป็ นการศึกษาใบใม้ทร่ี ว่ งหล่นจากต้น โดยไม่ยดึ ติดกับแหล่งทีม่ าหรือ ต้นไม้ แต่สามารถนําไปสูภ่ าพหรือระบบทีใ่ หญ่กว่านัน้ เปรียบได้กบั ใบไม้หรือเจ้าของโรงโม่ทช่ี ่วยให้เกิด ความเข้าใจระบบนิเวศน์หรือแบบแผนของอารยธรรมตะวันตกในยุคเปลีย่ นผ่านเนื่องจากผลกระทบทาง สังคมและวัฒนธรรมจากการปฏิรูปศาสนาและความรู้จากการปฏิวตั ิวทิ ยาศาสตร์ 164 เรื่องราวและ ความคิดของคนอย่างมีน็อกกีโอทีเ่ คยมีสถานะเป็ นเพียง “เกร็ด” ทางประวัตศิ าสตร์จงึ สามารถเปิ ดเผยให้ เห็นถึงพลวัต ทางวัฒนธรรมในยุคนัน้ ได้เป็ นอย่างดี หากแต่ ไ ม่ใช่ ในลักษณะของการแสดงให้เห็นถึง
A
F
1 6 1
R
162
D
1 6 3
161 162 163 164
Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, xiv-xvi. ดูหน้า 46 Ginzburg, The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller, xx-xxi. Ankersmit, "Historiography and Postmodernism," 177.
85
outillage mental ของยุคสมัยหรือเป็ นตัวแทนความเป็ นไปของยุคสมัย แต่เป็ นการนํ าเสนอพลวัตทาง ความคิดและวัฒนธรรมในสมัยนัน้ ผ่านหน่ วยเล็กๆ ซึง่ ก็คอื ผ่านความคิดของเจ้าของโรงโม่คนหนึ่ง 165 164
F
T
microstoria จึงไม่ใช่เป็ นเพียงการเปลีย่ นขอบเขตทางด้านเวลาและพืน้ ทีใ่ ห้มขี นาดเล็กลงหรือ เป็ นการเปลี่ย นระยะโฟกัส หรือ กํ าลัง ขยายของแว่ นขยาย หากแต่ เ ป็ นการเปลี่ยนแปลงเนื้ อ หาหรือ สาระสํ า คัญ ของการค้ น คว้ า ทางประวัติ ศ าสตร์ ด้ ว ย ต่ า งจากการศึ ก ษาประวัติ ศ าสตร์ ส ัง คมเชิง มานุ ษยวิทยาของนักประวัติศาสตร์ฝรังเศสที ่ ่สนใจทําความเข้าใจลักษณะร่วมทัวไป ่ เช่นทําความเข้า ใจความเป็ น “ชาวนา” ในสมัยกลาง นักประวัตศิ าสตร์ชาวอิตาลีสนใจการผูกโยงและความเกีย่ วข้องของ หน่ วยเฉพาะทีเ่ จาะจง โดยเฉพาะบุคคลอย่าง “เจ้าของโรงโม่ช่อื มีน็อกกีโอ” 166 การลดขนาดของขอบเขต หรือเพิม่ กําลังขยายในการศึกษา สาระสําคัญจึงไม่ได้อยู่ท่ขี นาดของพื้นทีห่ รือหน่ วยการศึกษา แต่อยู่ท่ี กรอบวิธแี ละการวิเคราะห์ซ่งึ ไม่ได้จํากัดอยู่กบั หน่ วยขนาดเล็ก กล่าวคือใช้หน่ วยเล็กเพื่อตัง้ คําถามที่ ใหญ่ ก ว่ า พื้น ที่นั น้ ๆ ตามที่เ กีย ร์ซ เคยกล่ า วไว้ว่ า “…ไม่ไ ด้ศึก ษาหมู่บ้า น หากแต่ เ ป็ นการศึก ษาใน หมูบ่ า้ น” นักประวัตศิ าสตร์สนใจหน่ วยเล็กเพื่อตัง้ คําถามต่อสภาวะของมนุ ษย์ในภาพกว้าง 167 166
D
R
A
แม้ว่ า microstoria จะมีร ากฐานทางด้า นวิธ ีก ารมาจากมานุ ษ ยวิท ยาที่ส นใจหน่ ว ยหรือ ปรากฏการณ์ทม่ี ขี นาดเล็กในทิศทางเดียวกับคลิฟฟอร์ด เกียร์ซและงานอย่าง “Workers Revolt: the Great Cat Massacre of the Rue Saint-Séverin” ของโรเบิรด์ ดาร์นตัน ซึง่ บ่อยครัง้ ถูกเรียกรวมกัน ภายใช้ช่อื microhistory ภายใต้ความคล้ายในหลายๆด้าน จีโอวานนี ลีวชี ใ้ี ห้เห็นว่าข้อแตกต่างสําคัญ กล่าวคือ การศึกษาแบบ “thick description” ซึ่งสนใจการสื่อสารและการแสดงออกทางสังคม ผ่าน สารบบทางสัญ ญะและการตีค วามซึ่ง มีอ ยู่ใ นพื้นที่ส่ ว นกลาง เพื่อ เข้าถึงในโลกของผู้ท่อี ยู่ใ นอดีต ใน เหตุการณ์นัน้ ๆ นักมานุ ษยวิทยาต้องตีความเพื่อทําความเข้าในสารบบทางสัญญะนัน้ ๆ เกียร์ซและ มานุษยวิทยาทางการตีความมองว่ามีสญ ั ญะอยูใ่ นส่วนกลางหรือเป็ นสาธารณะทีอ่ ยู่ในพืน้ ทีแ่ ละช่วงเวลา นัน้ ที่รอการตีค วามของผู้เ ข้าร่วม โดยสัญ ญะจํานวนมากดังกล่ าวมีอยู่ใ นสารบบเดียวกัน แต่ นัก ประวัตศิ าสตร์ microstoria ไม่ได้มองว่าเป็ นสารบบ โดยมองว่าภาพแทนทางสังคมมีความหลากหลาย
165 166
Ankersmit, "Historical Representation," 122-123.
Jacques Revel, "Microanalysis and the Construction of the Social," in Histories : French Constructions of the Past, ed. Jacques Revel, Lynn Avery Hunt, and Arthur Goldhammer(New York: New Press, 1998), 495-496. ตีพมิ พ์ครัง้ แรกเป็ นภาษา ฝรั ่งเศส Jacques Revel, "Micro-analyse et construction du social" in Revel (ed.), La construction du social (Paris: Gallimard, 1996). 167
Levi, "On Microhistory," 95-96. อ้างอิงจาก Geertz, The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 22.
86
และขึน้ กับหน่ วยทางสังคมทีห่ ลากหลาย ระดับชัน้ ทางสังคมทีแ่ ยกจากกัน สภาวะทางสังคมทีแ่ ปรเปลีย่ น และปจั เจกที่มคี วามแตกต่างกันออกไป microstoria จึงให้ความสําคัญกับการทําความเข้าใจความ แตกต่างทางวัฒนธรรมทีม่ อี ยู่ภายในปจั เจก กลุ่มคนและสังคมจากต่างพืน้ ทีแ่ ละต่างช่วงเวลา 168 ขณะที่ เกียร์ซและดาร์นตันมองว่าสาระสําคัญของวัฒนธรรมคือความสามารถทางความคิดในการตีความสัญญะ ของมนุ ษย์ ทําให้แนวคิด “thick description” มีแนวโน้ มทีจ่ ะมองข้ามปจั จัยซึ่งเป็ นสาเหตุ กลไกหรือ ป จั จัย ที่ม าจากความแตกต่ า งหลากหลายทางสัง คม โดยผนวกสิ่ง เหล่ า นี้ เ ข้ า เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของ กระบวนการสร้างความหมายหรือ การตีค วาม ซึ่ง microstoria ให้ค วามสํา คัญ กับความแตกต่ า ง หลากหลายเหล่านี้ ซึง่ เป็ นผลให้งานอย่าง The Cheese and the Worms ให้ความสําคัญกับปฏิสมั พันธ์ ของวัฒนธรรมในหลายระดับทัง้ วัฒนธรรมมุขปาฐะและวัฒนธรรมการเขียนและหนังสือ คติชนพื้นบ้าน และปรัชญาร่วมสมัย วัฒนธรรมท้องถิน่ และรากฐานอารยธรรมตะวันตก อีกทัง้ มองเห็นพลวัตและความ ขัดแย้งทีเ่ กิดขึน้ จากการปฏิรปู ศาสนา
F
T
167
ประวัติศาสตร์ชีวิตประจําวัน (Alltagsgeschichte)
D
R
A
ในเยอรมนีประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเคยถูกคุมกําเนิดในวงวิชาการตัง้ แต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมา ทําให้ส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 20 ประวัตศิ าสตร์การเมืองคงความเป็ นเสาหลักและถูกท้าทาย จากประวัตศิ าสตร์สงั คมน้ อยมากต่างจากฝรังเศสอย่ ่ างสิ้นเชิง อีกประการหนึ่งประวัตศิ าสตร์เยอรมัน ศตรรษที่ 20 เต็มไปด้วยความผกผันทางการเมืองทีท่ ําความเข้าใจได้ผ่านสงคราม เหตุการณ์การเมือง และผู้นําทางการเมือง อิทธิพลของประวัติศาสตร์แบบฝรังเศสจึ ่ งไม่ได้แพร่หลายนัก จนกระทังราว ่ ทศวรรษที่ 1970 ที่ Alltagsgeschichte (history of everyday life) หรือ “ประวัตศิ าสตร์ชวี ติ ประจําวัน” เข้ามาในวงวิชาการกระแสหลัก ภายใต้การนํ าของอัฟ ลุดท์เก (Alf Ludtke) และฮานส์ เมดิค (Hans Medick) นักประวัตศิ าสตร์กลุ่ม Alltagsgeschichte มีพน้ื เพมาจากความสนใจประวัตศิ าสตร์ขบวนการ แรงงาน โดยนักประวัตศิ าสตร์กลุ่มนี้สนใจช่วงเวลาศตวรรษที่ 19 และ 20 ซึง่ เยอรมนีเข้าสู่การผลิตแบบ อุตสาหกรรมและระบบราชการสมัยใหม่ รวมถึงภาวะสงครามและภายใต้การปกครองของนาซี โดยให้ ความสําคัญ กับประสบการณ์ ชวี ติ ประจําวันของคนธรรมดาโดยเฉพาะชนชัน้ แรงงานในสภาวะความ เปลีย่ นแปลงดังกล่าว 169 อิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากความสนใจวัฒนธรรมจากประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์ใน
168 169
168
Levi, "On Microhistory," 103-104. David F. Crew, "Alltagsgeschichte: A New Social History "from Below"?," Central European History 22, no. 3/4 (1989): 396.
87
อังกฤษโดยเฉพาะงานของเอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั รวมถึงกระแส “ซ้ายใหม่” (New Left) ในขณะนัน้ อีกส่วน หนึ่งมาจากมานุ ษยวิทยาวัฒนธรรมทัง้ จากสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะคลิฟฟอร์ด เกียร์ซและจากปิ แอร์ บูร์ ดิเยอในฝรังเศส ่ 170 169
A
F
T
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 การศึกษาด้านประวัตศิ าสตร์ในช่วงนัน้ ถูกชีน้ ํ าโดยสํานักบีเล เฟลด์ (Bielefeld school) ซึง่ ศึกษาประวัตศิ าสตร์สงั คม (Gesellschaftsgeschichte) ทีเ่ น้นการศึกษาเชิง ปริมาณ สนใจโครงสร้างโดยรับอิทธิพ ลจากกรอบทฤษฎีส มัยใหม่ภิว ตั น์ (modernization theory) Alltagsgeschichte จึ ง เป็ น ส่ ว นนหนึ่ ง ของกระแสท้ า ทายสํ า นั ก บี เ ลเฟลด์ พร้ อ มทั ง้ การท้ า ทาย modernization theory ในทางสังคมศาสตร์ขณะนัน้ โดยส่วนหนึ่งแล้วการศึกษาแบบมานุ ษยวิทยาทํา หน้ าที่สําคัญในการท้าทายทัง้ การยึดกับทฤษฎีสมัยใหม่ภวิ ตั น์ การละเลยมิตทิ างวัฒนธรรมและการทํา ความ “เข้าใจ” ประสบการณ์ในแบบมานุ ษยวิทยาหรือ Verstehen แม้ว่า Alltagsgeschichte จะเป็ น ประวัติ ศ าสตร์ ท่ีไ ม่ ไ ด้ ถ กเถี ย งทางทฤษฎี ห รือ นํ า ทฤษฎีม าใช้ ด ัง เช่ น สัง คมวิ ท ยาประวัติศ าสตร์ ลักษณะเฉพาะสําคัญของ Alltagsgeschichte ที่เป็ นผลมาจากนักประวัติศาสตร์ท่ศี ึกษาเยอรมนีใน ศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่เป็ นการวิพากษ์แนวคิดทฤษฎีว่าด้วยความก้าวหน้าและความเป็ นสมัยใหม่ อย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีเ ยอรมนี ภายใต้ก ารปกครองของนาซีและความรุนแรงที่เกี่ยวข้อง โดย มองเห็นภาพความกํากวมและซับซ้อนซึง่ เป็ นกระแสวิจารณ์ความเป็ นสมัยใหม่จากแนวคิดหลังสมัยใหม่ และรับมรดกทางความคิดมาจากสํานักแฟรงค์เฟิรต์ 171 170
R
ลักษณะสําคัญของ Alltagsgeschichte ซึง่ สอดคล้องกับประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีไ่ ด้รบั อิทธิพล จากญาณวิทยาแบบมานุ ษยวิทยาในช่ ว งนัน้ คือ การให้ค วามสําคัญ กับประสบการณ์ และความหมาย ในทางอัตวิสยั โดยชีใ้ ห้เห็นว่าด้านวัฒนธรรมอยูเ่ หนือการแบ่งแยกขัว้ ตรงข้ามระหว่างปจั จัยวัตถุวสิ ยั ของ กายภาพ โครงสร้างและสถาบัน จากอัตวิสยั สัญญะ วัฒนธรรมและอารมณ์ 172 แม้ Alltagsgeschichte จะสนใจการใช้ชวี ติ ประจําวันซึ่งคล้ายคลึงกับโบรเดลและ histoire des mentalité ในฝรังเศส ่ ขณะที่ histoire des mentalité ศึกษาระบบหรือโครงสร้างของค่านิยมและความเชื่อ Alltagsgeschichte มอง ความเป็ นชีวติ ประจําวันผ่านมิตทิ างด้านประสบการณ์ผ่านการแสดงออกและการสร้างภาพแทนในมิติ
D
171
170
Geoff Eley, "Labor History, Social History, "Alltagsgeschichte": Experience, Culture, and the Politics of the Everyday--a New Direction for German Social History?," The Journal of Modern History 61, no. 2 (1989): 316. 171 172
Crew, "Alltagsgeschichte: A New Social History "from Below"?," 404.
Eley, "Labor History, Social History, "Alltagsgeschichte": Experience, Culture, and the Politics of the Everyday--a New Direction for German Social History?," 317.
88
ทางวัฒนธรรม ซึ่ง เป็ น “การเล่ นหรือ ล้อ กันระหว่างแรงขับดันจากตัวตนและผู้อ่ ืนซึ่งดําเนินไปอย่าง ต่อเนื่อง” ทําให้ประวัตศิ าสตร์ชวี ติ ประจําวันไม่ได้เป็ นเรื่องของการทํางานของกิจวัตรอัตโนมัตซิ ง่ึ เป็ นผล จากวัฒนธรรมทีเ่ ป็ นกรอบบีบรัดซึง่ เป็ นการมองวัฒนธรรมแบบวัตถุวสิ ยั แต่เป็ นการมองชีวติ ประจําวัน ว่าเป็ น “บริบททีม่ ขี น้ึ ในทางวัฒนธรรมสําหรับการกระทําและการตีความ ‘ความเป็ นจริงของชีวติ ’ ในอดีต ซึง่ เจาะจงกับลําดับชัน้ ทางสังคมอันใดอันหนึ่ง” 173 สิง่ ทีน่ ักประวัตศิ าสตร์ชวี ติ ประจําวันให้ความสนใจ จึง ไม่ใช่ชุดความรูส้ กึ นึกคิดคงทีซ่ ง่ึ อธิบายถึงสังคมช่วงนัน้ ได้ดงั เช่น mentalité แต่เป็ นความเปลีย่ นผันทาง ประวัตศิ าสตร์ทม่ี พี ลวัตและเต็มไปด้วยความขัดแย้งซึง่ ส่งผลต่อการทีช่ วี ติ ประจําวันถูกสร้างขึน้ และได้รบั การผลิตซํ้า โดยเฉพาะประสบการณ์ความเป็ นสมัยใหม่ทงั ้ การเติบโตของระบอบทุนนิยม การผลิตใน ระบบอุ ตสาหกรรม ระบบแรงงานสมัยใหม่ การสร้างระบบราชการ รัฐรวมศูนย์ รวมถึงชีวติ ในช่วง สงคราม โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ง การใช้ชีว ิต ภายใต้ ก ารปกครองของนาซี โดยศึก ษาประสบการณ์ ใ น ชีวติ ประจําวันในสภาวะเปลีย่ นผ่านดังกล่าว อีกทัง้ ให้น้ํ าหนักต่อสภาวะการเป็ นผูก้ ระทําของมนุ ษย์ตาม เอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั ซึง่ เป็ นอิทธิพลสําคัญ 174 173
F
T
172
D
R
A
โดยแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับเกียร์ซ ซึ่งนักประวัตศิ าสตร์ชาวเยอรมันกลุ่มนี้ได้รบั อิทธิพล อยู่ ลั ก ษณะสํ า คั ญ อี ก ประการที่ แ ตกต่ า งจากสํ า นั ก อเมริ ก ั น คื อ การให้ ค วามสนใจกับ มิติ ข อง ชีวติ ประจําวันอันเป็ นผลจากความเป็ นสมัยใหม่ ขณะทีน่ ักประวัตศิ าสตร์อเมริกนั ทีเ่ ป็ นหัวหอกในด้านวิธ ี การศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบมานุ ษยวิทยาเป็ นนักประวัตศิ าสตร์ต้นสมัยใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 18 แต่เนื่องจากนักประวัตศิ าสตร์เยอรมันกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สนใจการเข้าสู่สมัยใหม่ของ เยอรมนีในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 ดังทีก่ ล่าวมา จึงอาจพอสรุปได้ว่า Alltagsgeschichte เป็ นการ วิพ ากษ์ ท ฤษฏีก ารเข้ า สู่ ค วามเป็ น สมัย ใหม่ ผ่ า นกระบวนการเปลี่ย นแปลงทางสัง คมไปสู่ ค วาม สมเหตุสมผล (rationalization) ผ่านการศึกษาแง่มุมทางด้านวัฒนธรรมทําให้เห็นถึงแง่มุมทีก่ รอบทฤษฎี การเข้าสู่ความเป็ นสมัยใหม่ไม่อาจมองเห็น
173
Hans Medick, ""Missionaries in the Row Boat"? Ethnological Ways of Knowing as a Challenge to Social History," in The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, ed. Alf Lüdtke(Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995), 54. (ตีพมิ พ์ครัง้ แรกใน Comparative Studies in Society and History Vol. 29, No. 1 (Jan., 1987), pp. 76-98) 174
Alf Lüdtke, "Introduction: What Is the History of Everyday Life and Who Are Its Practitioners?," in The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, ed. Alf Lüdtke(Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995), 5-6.
89
สรุป: แนวคิ ดสําคัญในประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรม
A
F
T
หากมองประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมที่เริม่ เป็ นรูปเป็ นร่างขึน้ มาในสมัยเรอเนสซองส์มาถึงปจั จุบนั อาจมองหาความเป็ นแบบแผนพัฒนาการสู่ความเป็ นเหตุเป็ นผลหรือการเดินทางสู่การเป็ นสาขาวิชาทีม่ ี ระบบไม่พบ เนื่องจากประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมไม่เคยมีสถานะเป็ นศาสตร์หรือสาขาวิชา อีกทัง้ ไม่เคย เป็ นสาขาย่อยภายใต้สาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ เนื่องจากมีลกั ษณะของความสนใจข้ามสาขาวิชา แม้ว่าใน ศตวรรษที่ 20 สาขาต่างๆ ทางมนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มพี ้นื ที่ในมหาวิทยาลัย ประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมก็อยูท่ ช่ี ายขอบของความเป็ นสถาบัน ไม่เคยมีสถานะภาพเป็ น “สํานัก” อีกทัง้ มีผูศ้ กึ ษาค้นคว้า ทีอ่ ยู่นอกวงวิชาการมาอย่างต่อเนื่อง อาจกล่าวได้ว่าประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมไม่เคยถูกสถาปนาขึน้ เป็ น สาขาวิชาหรือเป็ นสํานัก ต่ างจากสาขาย่อยอื่น เช่น ประวัติศาสตร์ความคิด ประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์สงั คม ประวัติศาสตร์ว ิทยาศาสตร์ ฯลฯ มีก ารเหลื่อมซ้อนกับสาขาอื่นๆ มาโดยตลอด ตัง้ แต่ภาษาและวรรณคดี ปรัชญา ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ มานุ ษยวิทยาและวัฒนธรรมศึกษาตามลําดับ อีก ทัง้ ยังขึน้ อยูก่ บั ความสนใจและความเชีย่ วชาญของผูเ้ ขียนแต่ละท่าน จึงขาดเอกภาพทางความสนใจและ วิธ ีก าร อีก ทัง้ แฝงไว้ด้ว ยทัศ คติท่ตี ่ างกัน ไป โดยความสนใจประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมอยู่ใ นกลุ่ มนั ก ประวัตศิ าสตร์อนุ รกั ษ์นิยมไม่น้อยไปกว่าฝ่ายก้าวหน้ า ต่างจากประวัตศิ าสตร์สงั คมซึ่งมีแนวโน้ มความ สนใจและผูศ้ กึ ษาทีเ่ อนเอียงไปทางการเมืองฟากซ้ายหรือก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชดั ตัง้ แต่ยุคแสงสว่างมา จนถึงสํานักอานาลส์
D
R
ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมของนักมนุ ษยนิยมยุคเรอเนสซองส์แสดงให้เห็นว่า การสงครามและ การเมืองไม่เพียงพอทีจ่ ะแสดงให้เห็นถึงความเปลีย่ นแปลงทางประวัตศิ าสตร์ โดยนักประวัตศิ าสตร์ส่วน หนึ่งรับเอาวิธคี ดิ เรือ่ งการแบ่งยุคและประเมินคุณค่าทีร่ บั มาจากคริสต์ศาสนา ต่อมานักมนุ ษยนิยมยุคเรอ เนสซองส์มสี ่วนทําให้เนื้อหาสาระและกรอบการวิเคราะห์ไปในทิศทางฆราวาสมากขึน้ ซึ่งการแบ่งและ อธิบายลักษณะเฉพาะของแต่ละยุคในทางความคิดและวัฒนธรรมเป็ นส่วนสําคัญของการเกิดขึน้ ของ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ทีก่ ล่าวมานี้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างว่าประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเต็มไปด้วยการ หยิบยืมและความย้อนแย้งทางด้านค่านิยมและอุ ดมการณ์ อีกทัง้ ในสมัยปฏิรูปศาสนาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมก็ทําหน้ าที่ทางการเมืองที่แต่ ละฝ่ายจะมอบหมายให้ สนใจทัง้ วรรณกรรม หลักศาสนาและ วิทยาศาสตร์ จากทีก่ ล่าวมาเป็ นเหตุสาํ คัญทีท่ ําให้ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมไม่เคยสถาปนาระเบียบแบบ แผนหรือ หลัก ในด้ า นระเบีย บวิธ ีแ ละวางกรอบของสิ่ง ที่ศึก ษา ว่ า สิ่ง ใดเป็ น หรือ ไม่ เ ป็ น พื้น ที่ข อง ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ซึง่ เป็ นทัง้ จุดแข็งและจุดอ่อนของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม 90
T
จากทีเ่ ห็นได้ว่าพื้นเพของนักประวัตศิ าสตร์และความหลายทางด้านอุดมการณ์ มีส่วนสําคัญใน การกําหนดสิง่ ทีศ่ กึ ษาและกรอบวิธกี าร หากลงไปอภิปรายเรื่องระเบียบวิธแี ละกรอบการศึกษายิง่ เห็นได้ ถึงความซับซ้อน ความไม่มรี ะบบของวิธกี ารศึกษา ขอบเขตและกรอบทฤษฎีท่ชี ดั เจนเป็ นหนึ่งในคํา วิจารณ์ทน่ี ักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมหลายท่านถูกวิจารณ์ อีกทัง้ คําว่า “culture” เป็ นคําทีม่ คี วามหมาย หลากหลาย ซับซ้อนและเป็ นทีม่ าของความขัดแย้งมากทีส่ ุดคําหนึ่ง เมือ่ นักประวัตศิ าสตร์นิยามสิง่ ทีเ่ ป็ น วัฒนธรรมไม่ตรงกัน ทําให้ผทู้ ศ่ี กึ ษาประติมากรรมในยุคเรอเนสซองส์ กับผูท้ ศ่ี กึ ษาความคิดเพีย้ นๆของ ชาวนาคนหนึ่งเป็ นสาขาวิชาการเดียวกันและแลกเปลีย่ นทางด้านระเบียบวิธกี นั ได้จงึ เป็ นปญั หา อย่างไร ก็ดแี ม้ว่าจะไม่อาจสรุปให้เห็นว่าเป็ นพัฒนาการ และการอภิปรายเปรียบเทียบนิยามและกรอบในการ อธิบาย “วัฒนธรรม” ของนักประวัตศิ าสตร์แต่ละกลุ่มแต่ละคนจึงเป็ นเรื่องไม่ง่ายนัก แม้ในงานชิน้ เดียวก็ ยังอธิบายถึงวัฒนธรรมทีค่ ่อนข้างไม่เป็ นระบบ
F
ภายใต้ความหลากหลาย ขัดแย้งและการขาดซึง่ ลักษณะร่วม เราอาจกล่าวถึงประเด็นสําคัญบาง ประเด็นทีท่ าํ ให้ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมีลกั ษณะพืน้ ฐานแตกต่างจากข้อเขียนเชิงประวัตศิ าสตร์รปู แบบ อื่น เป็ นข้อถกเถียงสําคัญทีม่ มี าอย่างต่อเนื่องในประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม
A
แนวคิ ดเรื่องยุค
D
R
เนื่องจากความสนใจค้นคว้าผลผลิตทางวัฒนธรรมในมิตทิ างประวัตศิ าสตร์ ได้พฒ ั นาขึน้ บนแนวคิด เรือ่ งยุคและการเปลีย่ นผ่านทางอารยธรรมจากยุคเรอเนสซองส์ ทีม่ องว่าสมัยของตนมีลกั ษณะในทางภูม ิ ปญั ญาและทัศนคติหลายอย่างทีแ่ ตกต่างจากสมัยกลางหรือ “ยุคมืด” กล่าวคือยังคงยึดโยงอยูก่ บั การแบ่ง ยุคสมัยทีว่ างอยูบ่ นความเชื่อว่าวัฒนธรรมมีการเสื่อมและการฟื้ นขึน้ ใหม่ โดยยังมีความคิดว่ามียุคสมัยที่ มีคุณค่ามากกว่าอีกยุคสมัยหนึ่ง เนื่องจากประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมยุคเรอเนสซองส์มาจากการสร้าง บรรทัดฐานการวิจารณ์ ประเมินคุณค่าและค่านิยมของผลงานหรือผลผลิตทางวัฒนธรรมแบบมนุ ษยนิยม โดยเฉพาะอย่างยิง่ การยกย่องข้อเขียน ภาษาหรือศิลปะจากศิลปิ นหรือสํานักใดสํานักหนึ่งเป็ นแม่แบบที่ ควรลอกเลียน นํ ามาเป็ นแนวทางหรือนํ ามาต่อยอด ขณะทีง่ านบางชิน้ ทีเ่ ป็ นความเสื่อมลงทางความคิด และปญั ญาโดยเฉพาะเมื่อมองผลงานหลายชิ้นจากสมัยกลาง อีกทัง้ ยังมีการให้คุณค่าในแบบฆราวาส นิยม ส่ ว นนั ก ประวัติ ศ าสตร์ ยุ ค แสงสว่ า งเริ่ม มองความเปลี่ย นผ่ า นทางวัฒ นธรรมในลัก ษณะของ ความก้าวหน้า อย่างไรก็ดแี นวคิดเรื่องลักษณะเฉพาะของยุคในทางวัฒนธรรมยังคงมีอยู่ หากแต่ว่าเริม่ มองวัฒนธรรมในแง่ท่เี ป็ นส่วนหนึ่งของกลไกขนาดใหญ่ อีกทัง้ ผูกกับแนวคิดว่าด้วยรูปแบบทางสังคม 91
T
และความสัมพันธ์ในมิตติ ่างๆ ซึง่ ชีใ้ ห้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละยุคในหลายด้าน โดยเฉพาะในทาง วัฒนธรรมผ่านสิง่ ที่เรียกว่าแบบแผนทางความคิด (mode of thought) หรือ “คติ” (fable ในภาษา ฝรังเศสหรื ่ อ myth ในภาษาอังกฤษ) ทีเ่ กี่ยวเนื่องกับความเชื่อและศาสนาผ่านแง่มุมทางจิตวิทยา โดย สนใจอธิบายตรรกะทีอ่ ยูเ่ บือ้ งหลังวัฒนธรรม โดยงานทีอ่ ธิบายถึงการแบ่งยุคในทางวัฒนธรรมทีโ่ ดดเด่น และเป็ นระบบที่สุดปรากฏในช่วงต้นยุคแสงสว่างในข้อเขียนของวิโกซึ่งทําความเข้าใจมิตดิ งั กล่าวผ่าน รูปแบบภาษาและโวหารโดยใช้วลี “ตรรกะทางกวี” ต่อมา esprit เป็ นคําทีก่ ลายมามีความสําคัญในการ นิยามลักษณะทางวัฒนธรรมของยุคในหมูน่ กั ประวัตศิ าสตร์และนักเขียนชาวฝรังเศสในศตวรรษที ่ ่ 18 ซึง่ มีแนวคิดเรือ่ งความแตกต่างทางวัฒนธรรมทีเ่ ปิ ดกว้างกว่ายุคเรอเนสซองส์อย่างเห็นได้ชดั โดยเฉพาะต่อ วัฒนธรรมสมัยกลาง มองว่าเป็ นธรรมชาติและความเหมาะสมตามรูปแบบสถาบันสังคมในแต่ละยุค
D
R
A
F
แนวคิดว่าแต่ละยุคมีลกั ษณะเฉพาะทางด้านวัฒนธรรมมีอยู่อย่างชัดเจนมากในประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ ซึง่ เป็ นผลมาจากแนวคิดเรือ่ งยุคเรอเนสซองส์ซง่ึ เชื่อมโยงกับมรดกทางวัฒนธรรมจากยุคคลาสสิก ทัศนะ นี้เป็ นหมุดหมายสําคัญของสาขาประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะ การมองว่าแต่ละยุคมีลกั ษณะเฉพาะลักษณะนี้ม ี อิทธิพลต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมอย่างต่อเนื่องมาถึงเบิรค์ ฮาร์ดและฮุยซิงกา อย่างไรก็ด ี แนวคิดดังกล่าวถูกท้าทายโดย Kulturgeschichte ในเยอรมนี ทีม่ องว่าลักษณะเฉพาะหรืออัตลักษณ์ทาง วัฒนธรรมอยู่ท่ชี นชาติหรือพื้นที่ทางภูมศิ าสตร์มากกว่าช่วงเวลา การท้าทายนี้มนี ัยสําคัญอีกประการ หนึ่งคือการลดทอนความสําคัญของอารยธรรมยุคคลาสสิกว่าเป็ นมรดกร่วมของโลกตะวันตก อย่างไรก็ด ี ทัง้ Kulturgeschichte และประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมคลาสสิกอย่างเบิรค์ ฮาร์ดและฮุยซิงกายังมีลกั ษณะ สําคัญร่วมกันกล่าวคือ ยังคงยึดกับแนวคิดว่าด้วย Zeitgeist และ Volksgeist ซึง่ เน้นให้เห็นถึงเอกภาพ ทางวัฒนธรรมของยุคหรือของชนชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งสืบมาถึงประวัติศาสตร์สงั คมอย่างสํานักอานาลส์ ภายใต้การนําของโบรเดลและแนวคิด mentalité ทีม่ องวัฒนธรรมในภาพทีค่ ่อนข้างมีเอกภาพและเน้นถึง ลักษณะร่วม แนวคิดว่าแต่ละยุคสมัยมีลกั ษณะร่วมและมีเอกภาพถูกท้าทายจากแนวคิดทางวัฒนธรรม สํานักมาร์กซิสม์ ซึง่ อธิบายความแตกต่างทางวัฒนธรรมภายในสังคมทีซ่ บั ซ้อน เห็นถึงความขัดแย้งและ มีพลวัตมากขึน้ ต่อมาประวัตศิ าสตร์เชิงมานุษยวิทยาทีศ่ กึ ษาชนชัน้ ล่างในสังคมมองว่ามีธรรมเนียมและ ค่านิยมซึง่ ดํารงอยูต่ ่อเนื่องสามารถดํารงอยูผ่ ่านความเปลีย่ นแปลงทางด้านระบบการเมือง เศรษฐกิจและ สังคม ผ่านการปฏิวตั อิ ุตสาหกรรมหรือการปฏิวตั ฝิ รังเศส ่ ซึ่งการลดทอนลักษณะเฉพาะของยุคเห็นได้ ชัดในหมู่นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ที่เห็นว่าลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม นัน้ ไม่ได้หยุดนิ่งเป็ นแบบแผนของแต่ละยุคสมัยแต่มพี ลวัตอย่างต่อเนื่อง
92
ความเข้าใจความคิ ดและความรู้สึกในอดีต (empathy)
R
A
F
T
ตัง้ แต่ยคุ เรอเนสซองส์เห็นได้ว่าประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเป็ นข้อเขียนทีแ่ ตกต่างจากรูปแบบงาน เขียน (genre) ว่าด้วยอดีตทีม่ รี ากมาตัง้ แต่ยุคคลาสสิกอย่างประวัตศิ าสตร์ (historia) ทีส่ นใจเหตุการณ์ การเมือ งและการสงคราม และชีวประวัติ (biographia) ซึ่ง สนใจบุค คลที่มคี วามสําคัญ อย่างไรก็ด ี ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมไม่ได้มสี ถานะเป็ นรูปแบบงานเขียน (genre) ที่มกี ารสถาปนากฎเกณฑ์หรือ แบบแผนทางการประพันธ์ หากแต่มกั หยิบยืมแบบแผนมาจากชีวประวัติเพื่อทําความเข้าใจชีวติ และ ความคิดที่อยู่เบื้องหลังผลงานหรือการคิดค้นสําคัญ ซึ่งแง่มุมทางชีวประวัตเิ ป็ นส่วนสําคัญของการทํา ความเข้าใจหรืออธิบายทางด้านวัฒนธรรม โดยความเข้าใจความคิดและความรูส้ กึ ของบุคคลเป็ นส่วน สําคัญของชีวประวัตมิ าตัง้ แต่ยคุ คลาสสิก จึงเห็นได้ว่านักประวัตศิ าสตร์ทส่ี นใจมิตทิ างด้านวัฒนธรรม ไม่ ว่าจะเป็ นเรือ่ งของวรรณกรรม ภาษา แนวคิดทางปรัชญา คําสอนทางด้านคริสต์ศาสนาหรือศาสตร์แขนง ต่างๆ จึงถูกอธิบายผ่านชีวประวัตขิ องบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทีเ่ ป็ นผู้แต่ง ผู้รเิ ริม่ หรือผู้มคี ุณูปการต่อสิง่ เหล่านัน้ โดยมักเชื่อมโยงกับแนวคิดอัจฉริยภาพของบุคคล จึงอาจกล่าวได้ว่าความเข้าใจความคิดและ ความรูส้ กึ ในอดีตในยุคเรอเนสซองส์ถูกอธิบายผ่านชีวประวัติ ชีวประวัตเิ ป็ นรูปแบบงานเขียนที่สบื มา ตัง้ แต่ ยุคคลาสสิกซึ่งในช่วงแรกนัน้ บุคคลที่เป็ นที่สนใจคือบุคคลที่มอี ิทธิพลในทางการเมือง และถูก ขยายขอบเขตไปสู่ประวัตนิ ักบุญในสมัยกลาง ในยุคเรอเนสซองส์ประวัตศิ ลิ ปิ นของวาซารีถอื ได้ว่าเป็ น ประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมที่ย ึด โยงกับ ประวัติชีว ิต การงานและความคิด ของศิล ปิ น อีก ทัง้ ข้อ เขีย น ประวัตศิ าสตร์ภาษาและวรรณกรรมที่แพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 16 และศตวรรษที่ 17 อีกหลายชิน้ ที่ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงพอกล่าวได้ว่าการเขียนในเชิงชีวประวัตเิ ป็ นทางเลือกแรกๆในการทําความ เข้าใจวัฒนธรรม เนื่องจากชีวประวัตมิ สี ถานะค่อนข้างพิเศษในแง่ท่สี นใจความกํากวมและความรู้สกึ ภายในบุคคล แม้ถูกวิจารณ์เรือ่ งความน่ าเชื่อถือมาอย่างต่อเนื่อง
D
การเปลีย่ นแปลงที่สําคัญด้านกรอบการทําความเข้าใจความคิดและความรูส้ กึ ในอดีตเปลีย่ นไป ในช่ ว งศตวรรษที่ 18 เนื่ อ งจากแนวคิด ว่ า ด้ว ย “สัง คม” ที่ซ ับ ซ้อ นมากขึ้น ทํ า ให้ข้อ เขีย นด้า น ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเริม่ ทําความเข้าใจความคิดและค่านิยมผ่านหน่ วยทีใ่ หญ่กว่าชีวติ ของบุคคลหรือ คณะบุค คล โดยผ่านแนวคิดเรื่องกลไกและรูปแบบทางสังคม ซึ่ง ความเข้าใจความคิดและความรู้ส ึก (empathy) เป็ นประเด็นที่ปราชญ์ยุคแสงสว่างสนใจในการทําความเข้าใจกลไกของสังคมและจิตวิทยา ข้อเขียนเชิงปรัชญาทีส่ นใจประเด็นนี้โดยตรงและพยายามทําความเข้าใจสิง่ นี้เป็ นระบบคือ The Theory of Moral Sentiments (1759) ของอดัม สมิธ (Adam Smith) อีกทัง้ ยังปรากฏอยู่ในการอธิบายความคิด และความรู้ส ึก ของบุ ค คลในประวัติศ าสตร์ก ารเมือ งอัง กฤษของเดวิด ฮู ม (David Hume) นั ก ประวัตศิ าสตร์ในรุ่นเดียวกันสนใจค่านิยมและธรรมเนียมปฏิบตั ิของผู้คนในอดีต อีกทัง้ ยังชี้ให้เห็นถึง 93
แนวคิ ดเรื่องวัฒนธรรม
F
T
แนวโน้มในการสนใจความคิดหรือความรูส้ กึ นึกคิดในมิตทิ ่ตี ่างจากปจั เจก แม้ว่าวรรณคดียงั คงเป็ นสิง่ สําคัญทีน่ กั ประวัตศิ าสตร์สนใจ ความเข้าใจความคิดและความรูส้ กึ (empathy) กลายเป็ นหมุดหมายทาง วิธกี ารที่สําคัญของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบคลาสสิกของยาคอป เบิรค์ ฮาร์ดท์และโยฮัน ฮุยซิงกา กรอบความเข้าใจดังกล่าวเป็ นระบบมากยิง่ ขึน้ เมื่อเกิดการพัฒนาของสังคมศาสตร์และมนุ ษยศาสตร์ใหม่ ที่พยายามจัดระบบความคิดเรื่องญาณวิทยาและเทคนิควิธกี ารตีความ จากสาขามานุ ษยวิทยาดังที่ ปรากฏในงานของนัก ประวัติศ าสตร์อ ย่างเอ็ด เวิร์ด ทอมป์ส ันและเอ็มมานู เ อล ลี รัว ลาดูร ี จวบจน ั ่ ฐ อเมริก า จึง พอสรุ ปได้ว่ าความเข้า ใจความคิด และความรู้ส ึก มานุ ษ ยวิท ยาการตีค วามจากฝ งสหรั (empathy) เป็ นลักษณะสําคัญอันหนึ่งของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีม่ มี าอย่างต่อเนื่อง โดยได้หยิบยืม เครือ่ งมือและรูปแบบการวิเคราะห์จากงานประพันธ์ประเภทชีวประวัติ และเมือ่ แนวคิดว่าด้วยญาณวิทยา ทางสังคมศาสตร์พฒ ั นาขึน้ ความเข้าใจดังกล่าววางอยูบ่ นแนวคิดจากสาขามานุ ษยวิทยา
17 4
D
R
A
แม้ประวัตศิ าสตร์ของภาษาและวรรณคดี ปรัชญาและศิลปะในสมัยเรอเนสซองส์สามารถจัดได้ว่า เป็ นประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม แต่คําละติน Colere ซึ่งเป็ นรากศัพท์คําว่าวัฒนธรรมยังไม่ถูกนํ ามาใช้ใน ความหมายดังที่ใช้ในปจั จุบนั อีกทัง้ ขาดคําเดี่ยวที่สามารถนิยามรวมสิง่ ซึ่งปจั จุบนั เรียกว่าวัฒนธรรม หากแต่มคี วามหมายว่ากระบวนการปลูกฝงั และพัฒนาเช่นเดียวกับการกสิกรรมและปศุสตั ว์ 175 โดยยัง ขาดแนวคิดเรือ่ งวัฒนธรรมทีช่ ดั เจน นักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเรอเนสซองส์มองความเปลีย่ นแปลงทาง วัฒนธรรมที่ผูกกับแนวคิดเรื่องสืบทอดความรูแ้ ละผลผลิตทางวัฒนธรรม กล่าวคือมองว่าผลงานหรือ ผลผลิตทีม่ คี ุณูปการทางวัฒนธรรมและทางความคิดเป็ นผลมาจากการรือ้ ฟื้ นและต่อยอดทางความรูจ้ าก ยุคคลาสสิก แม้ว่านักมนุ ษยนิยมยุคนัน้ ค่อนข้างเห็นพ้องไปในทิศเดียวกันว่า ความสําเร็จในด้านศิลปะ และวัฒนธรรมในยุคนัน้ เป็ นผลมาจากเสรีภาพทางการเมืองการปกครอง หรือดังทีฮ่ านส์ บารอนนิยามคํา ว่า “มนุ ษยนิยมพลเมือง” (civic humanism)176 แต่ขอ้ เขียนเหล่านี้ไม่ได้อธิบายถึงกลไกทีส่ ่งผลต่อการ เปลีย่ นแปลง หากแต่มุ่งอภิปรายและวิจารณ์เพื่อประเมินคุณค่าของผลงานเหล่านัน้ แนวคิดที่อธิบาย ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างเป็ นระบบและกลไกปรากฏในข้อเขียนราวศตวรรษที่ 17 โดย 175 176
Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, 87.
Hans Baron, The Crisis of the Early Italian Renaissance; Civic Humanism and Republican Liberty in an Age of Classicism and Tyranny (Princeton, N.J.,: Princeton University Press, 1955), 173-174; พึง่ สุนทร, ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20.
94
ข้อเขียนด้านประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงดังกล่าวหันมาให้ความสําคัญกับความรูส้ กึ นึกคิดภายในของ มนุ ษย์ทม่ี รี ่วมกันในสังคมนัน้ ๆ ซึง่ ถือได้ว่าเป็ นการลดความสําคัญของการวิเคราะห์และประเมินคุณค่า ของผลผลิตทางวัฒนธรรม ซึง่ นํ าไปสู่ความสนใจทําความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละ ยุคสมัยและแต่ละภูมภิ าคของโลกโดยเชื่อมโยงกับระบบทางสังคมและระบอบการเมือง
A
F
T
อีกทัง้ ในช่วงเวลาดังกล่าวคําว่า “สังคม” เริม่ ถูกนํามาใช้ในความหมายในเชิงระบบและโครงสร้าง แบบสมัยใหม่ ที่เริม่ ต้นอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของ รูปแบบทางสังคม ซึง่ ถือได้ว่า Scienza Nuova (1725) ของวีโกมีส่วนสําคัญในการเสนอทฤษฎีทาง วัฒนธรรมช่วงต้นยุคแสงสว่าง วีโกเห็นว่าความเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรมคือการเปลีย่ นรูปทางภาษา และโวหารจากยุคสู่ยุค เป็ นผลมาจากรูปแบบทางสังคมและระบอบการเมือง วีโกยังอธิบายถึงโลกทัศน์ และแนวโน้ มทางด้านจิตใจภายใน ต่อมาปราชญ์และนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสเป็ ่ นคนกลุ่มหลักที่สนใจ ประวัตศิ าสตร์ในมิติทางวัฒนธรรม โดยใช้คําหลากหลายเช่น les passions humains, esprit และ moeuer เพื่ออธิบายถึงมิตทิ แ่ี ตกต่างกันของวัฒนธรรม แต่ละคําที่กล่าวมาชีใ้ ห้เห็นถึงมิตทิ แ่ี ตกต่างกัน ไปทัง้ ภายในและภายนอกตัวของมนุ ษย์ ใช้อธิบายความเป็ นเหตุผลและกลไกต่างกันไป แม้คําเหล่านี้ม ี ลักษณะคลุมเครือ แต่เห็นได้ถงึ ข้อแตกต่างทีว่ ่าสิง่ ใดควรค่าแก่การศึกษา ขณะทีน่ ักมนุ ษยนิยมเรอเนส ซองส์สนใจผลงานทางความคิดจากภูมปิ ญั ญาระดับบนทางสังคมเช่น วรรณกรรม ปรัชญาและศิลปะ นักเขียนยุคแสงสว่างมองว่าควรศึกษาให้ครอบคลุมกว่านัน้ ที่ใกล้เคียงกับวิถีชวี ติ ในทุกๆ แง่มุม ทัง้ ผลงานการสร้างสรรค์และธรรมเนียมประเพณี ทัง้ ทางจิตใจภายในและทางวัตถุภายนอก
D
R
โดยความสนใจวัฒนธรรมพื้นถิน่ วัฒนธรรมมุขปาฐะหรือระดับล่างทางสังคมชัดเจนมากขึน้ ใน ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมในเยอรมนีช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยคําว่า Kultur เป็ นคําที่มคี วามหมาย ครอบคลุมขึน้ อีกทัง้ เปิดรับแนวคิดพลวัตและความหลากหลายมากกว่าคําฝรังเศสที ่ ก่ ล่าวมา ครอบคลุม ประสบการณ์มนุ ษย์ทงั ้ ทางความคิดและทางวัตถุ อีกทัง้ ยังนํ าไปสู่ความสนใจต่ อธรรมเนียมประเพณี พื้น บ้านในระดับ ล่ างของสัง คมหรือ “popular culture” ซึ่ง เรียกได้ว่ า เป็ น การเปิ ด ฉากการศึก ษา ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมโดยเฉพาะ
แนวคิด การวิเ คราะห์ว ฒ ั นธรรมที่โ ดดเด่ นมากและเป็ นแม่แ บบของการศึก ษาประวัติศ าสตร์ วัฒนธรรมคือ ยาคอป เบิร์คฮาร์ดท์และโยฮัน ฮุ ยซิง กา เบิร์คฮาร์ดท์เชื่อ มโยงค่านิยมและมโนทัศน์ ท่ี นําไปสู่ความสําเร็จทางวัฒนธรรมในยุคนัน้ กับระบบโครงสร้าง อีกทัง้ ลดบทบาทของการอธิบายว่าปจั เจก หรือเหตุการณ์เป็ นสาเหตุสาํ คัญ ซึง่ มีลกั ษณะการอธิบายวัฒนธรรมในแบบมานุ ษยวิทยากล่าวคือเป็ นผล จากการทีม่ นุ ษย์ต้องเผชิญกับความไปเป็ นของโลกและวิกฤตต่างๆทีถ่ าโถมเข้ามา ในระดับของปจั เจก เป็ นในระดับสังคม เบิรค์ ฮาร์ดท์เป็ นนักประวัตศิ าสตร์คนแรกๆ ทีท่ ําความเข้าใจวัฒนธรรมในหลายระดับ 95
T
โดยใช้แนวคิดเพื่อการวิเคราะห์ (concept) เช่นปจั เจกนิยม (individualism) เป็ นเครื่องมือวิเคราะห์เชื่อ โยงกับรูปแบบและสถาบันทางสังคมในหลายๆระดับ แม้ไม่เป็ นระบบแบบสังคมวิทยายุคนัน้ ส่วนฮุยซิง กาสนใจสํานึกภายในมนุ ษย์มากขึน้ โดยรับเอากรอบทางจิตวิทยาสังคมมา ซึง่ สนใจทัง้ ทางด้านความเชื่อ ความรูส้ กึ อารมณ์และจินตนาการ รวมถึงการรับรูเ้ รื่องเวลาและสาระสําคัญของชีวติ งานของฮุยซิงกา สนใจแบบแผนทางวัฒนธรรมในลักษณะแบบผ่านชุดคําศัพท์การวิเคราะห์ทางวัฒนธรรมทีม่ อี ยู่ในสาขา มานุ ษวิทยาขณะนัน้ การวิเคราะห์วฒ ั นธรรมของนักประวัตศิ าสตร์ทงั ้ สองกลายเป็ นแม่แบบสําคัญของ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมเรื่อยมา การใช้แนวคิด (concept) เพื่อการวิเคราะห์น้ีกลายเป็ นหลักสําคัญของ การศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง นิ ยามของวัฒนธรรม
D
R
A
F
อาจมองได้ว่านักประวัตศิ าสตร์ท่ศี กึ ษาวัฒนธรรมตัง้ แต่ครึง่ หลังศตวรรษที่ 20 เป็ นต้นมา ได้ ผลิตงานทีม่ นี ยั ของการวิจารณ์ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมแบบคลาสสิกหลายประการ เช่น การใช้หลักฐาน ทีไ่ ม่เป็ นระบบ การมองข้ามชนชัน้ ล่างในสังคม การมองว่าแต่ละยุคสมัยมีวฒ ั นธรรมทีเ่ ป็ นเอกภาพ อีก ทัง้ เรือ่ งการมองข้ามความสัมพันธ์ภายในสังคมทีซ่ บั ซ้อนและมีพลวัต และการขาดซึง่ กรอบหรือทฤษฎีใน การทําความเข้าใจวัฒนธรรมอย่างเป็ นระบบ รวมไปถึงการมองวัฒนธรรมแบบอัตวิสยั หรือใช้ความรูส้ กึ ส่วนตัวของผูเ้ ขียนในการวิเคราะห์และอภิปราย โดยความพยายามในการวางกรอบการศึกษามิตทิ าง วัฒนธรรมในประวัติศาสตร์มาจากสํานักอานาลส์ โดยงานนักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้ไม่ได้ช่อื ว่าเป็ น ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม แต่กม็ มี ติ ขิ องความสนใจความรูส้ กึ นึกคิด (mentalité) โดยเห็นได้จากแนวคิด outilage mental ทีเ่ ฟบวร์เสนอ ซึง่ เป็ นการมองวัฒนธรรมในแง่ของชุดเครื่องมือทางภาษา สัญญะและ ความคิดทีส่ งั คมหนึ่งพึงมี ซึง่ ไม่ได้อยู่ภายในปจั เจกคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ข้อสําคัญคือเป็ น ความพยายามศึกษาวัฒนธรรมในลักษณะวัตถุวสิ ยั โดยวัฒนธรรมมีสถานะเป็ นโครงสร้างหรือกรอบที่ ล้อมความรูส้ กึ นึกคิดของมนุ ษย์ เป็ นระบบเชื่อมโยงกับปจั จัยทางสังคมอื่นๆ อย่างไรก็ดนี ักประวัตศิ าสตร์ สํานักนี้จงึ มองวัฒนธรรมในลักษณะค่อนข้างหยุดนิ่ง อีกทัง้ ยังเห็นว่าสามารถจับคู่รปู แบบทางวัฒนธรรม เข้ากับกลุ่มสังคมใดสังคมหนึ่งได้ โดยมองไม่เห็นความไม่ลงรอยหรือขัดแย้งทางวัฒนธรรมภายในกลุ่ม สังคมนัน้ ๆ ขณะทีน่ กั ประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสม์อย่างเอ็ดเวิรด์ ทอมป์สนั เสนอภาพทางวัฒนธรรมในภาวะ ขัดแย้งและการงัดง้างมากกว่า ข้อสําคัญอีกประการคือการให้ความสําคัญกับประสบการณ์ของบุคคลใน ประวัตศิ าสตร์
จนกระทัง้ แนวคิดการตีความวัฒนธรรมของเกียร์ซเป็ นการท้าทายทีส่ ําคัญต่อการวิเคราะห์และ ทําความเข้าใจวัฒนธรรมตามโครงสร้างภาพใหญ่ของสํานักอานาลส์ นํ าไปสู่ “new cultural history” ที่ 96
เห็นว่าวัฒนธรรมเป็ นสิง่ ทีค่ วรนํ ามาศึกษาในตัวของมันเองและมีความเป็ นอิสระจากโครงสร้างทางสังคม หลุดจากการมองวัฒนธรรมว่าผูกติดกับสังคม เศรษฐกิจหรือโครงสร้างอื่นๆ ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมใน กลุ่มนี้ โดยเฉพาะงานของชาติเยร์ ดาร์นตันและกินส์เบิรก์ แตกต่ างจากทัศนะต่อวัฒนธรรมตามแบบ mentalité ของสํานักอานาลส์ คือ การมุ่งสร้างความเข้าใจและอธิบายสถานะการเป็ นตัวกระทําของ ปจั เจกที่ไม่ได้เป็ นสมาชิกของชนชัน้ ปกครองหรือชนชัน้ สูงในยุคต้นสมัยใหม่ แต่กลับสามารถเป็ นอิสระ จากระบบโครงสร้างทีเ่ ป็ นผลมาจากอํานาจการเมืองและศาสนาได้
A
F
T
การทําความเข้าใจนิยามทางแนวคิดทฤษฎีว่าด้วยวัฒนธรรมเป็ นประเด็นทีม่ คี วามซับซ้อนและ ไม่อาจแยกออกจากความเป็ นสาขาวิชาและสํานักได้ ยิง่ เมื่อกล่าวถึงประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมยิง่ เห็นถึง ความกํากวมในการตกล่องปล่องชิ้นกับทฤษฎีสกุลใดสกุลหนึ่ง หรือนิยามชุดใดชุดหนึ่ง อีกทัง้ ยังเห็นได้ ว่ามีความพยายามในการหลีกเลี่ยงการใช้คําว่า “culture” หรือคําที่มรี ากศัพท์ร่วมมาโดยตลอด จาก เหตุผลทางทฤษฏีและทางอุดมการณ์ ในข้อเขียนของนักประวัตศิ าสตร์ฝรังเศสตั ่ ง้ แต่ยุคแสงสว่างมาถึง ศตวรรษที่ 20 ดังกล่าวถูกใช้น้อยกว่าคําอื่นมาก ในโลกวิชาการเยอรมันคําว่า Kultur ก็อดั แน่ นไปด้วย เชื่อปะทุของความขัดแย้ง ส่วนในโลกวิชาการภาษาอังกฤษ ซึ่งดูเหมือนว่านักประวัตศิ าสตร์จะใช้คํานี้ มากทีส่ ุด ก็ถูกใช้อย่างลื่นไหลมากและเป็ นคําทีม่ คี วามหมายซับซ้อนกว่าทุกภาษา ผนวกกับการเกิดขึน้ ของสาขาวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) ทีม่ สี ่วนสําคัญในการข้อถกเถียงเรื่องนิยาม วิลเลียม เอช ซีเวล (William H. Sewell) ชีใ้ ห้เห็นถึงความหลากหลายทางแนวคิดเมื่อนักวิชาการพูดถึงวัฒนธรรม ซึง่ ซีเ วลดู นิ ย ามของวัฒ นธรรมในลัก ษณะของการเป็ น หมวดการวิเ คราะห์ ว ิถีค วามเป็ น อยู่ใ นสัง คม (category of social life) ซีเวลจัดกลุ่มนิยามของวัฒนธรรม 177 ข้อซึ่งค่อนข้างครอบคลุมแนวนิยาม วัฒนธรรมของนักประวัตศิ าสตร์ท่กี ล่าวถึงข้างต้น จึงนํ าการแบ่งนิยามนี้มาปรับใช้ เพื่อทําความเข้าใจ แนวทางการอธิบายวัฒนธรรมของนักประวัตศิ าสตร์
R
17 6
D
1. วัฒนธรรมเป็ นพฤติกรรมทุกอย่างทีส่ บื ทอดมาหลายชัวคนและดํ ่ ารงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทัง้ วิถปี ฏิบตั ิ ความเชื่อ สถาบัน ธรรมเนียม ความเคยชิน คติ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์จงึ สนใจสภาวะที่ทําให้ วัฒนธรรมสามารถดํารงอยู่อย่างมีสมภาพ แนวคิดดังกล่าวมีรากมาจากสังคมวิทยาหน้ าทีน่ ิยม นัก ประวัตศิ าสตร์อย่าง mentalité มองวัฒนธรรมในภาพโครงสร้างใหญ่ และสภาวะที่วฒ ั นธรรมใดๆ
177
William Hamilton Sewell, Logics of History : Social Theory and Social Transformation, Chicago Studies in Practices of Meaning (Chicago: University of Chicago Press, 2005).
97
จะดํารงอยู่และสืบต่อไปได้ นิยามวัฒนธรรมลักษณะนี้มอี ยู่ในข้อเขียนของนักประวัตศิ าสตร์ยุคแสง สว่างอย่างวอลแตร์
F
T
2. วัฒนธรรมคือพืน้ ทีเ่ ชิงสถาบันทีม่ ไี ว้สร้างความหมายและคุณค่า ทัง้ ในการผลิต ถ่ายทอดและตีความ ซึง่ มีพน้ื ทีย่ อ่ ยๆ สําหรับวรรณกรรม ปรัชญา ศิลปะ ศาสนา สันทนาการและอื่นๆ นักประวัตศิ าสตร์ จะสนใจกิจกรรมทีเ่ กิดขึน้ ในพืน้ ทีเ่ ชิงสถาบันเหล่านี้ ในช่วงแรกนักประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมสนใจ วัฒนธรรมของชนชัน้ สูงเป็ นหลัก ตัวอย่างทีเ่ ห็นได้คอื งานของเบิรค์ ฮาร์ดท์และฮุยซิงกา ต่อมาการ อธิบายเรื่องพื้นที่เชิงสถาบันนี้เคลื่อนลงสู่ระดับล่าง เช่นการศึกษาวัฒนธรรมชนชัน้ แรงงานของ ทอมป์สนั ซึง่ สนใจพืน้ ทีต่ ่างๆ เช่นในครัวเรือน สันทนาการและทีท่ าํ งาน อีกทัง้ มีแนวโน้มว่าพืน้ ทีเ่ ชิง สถาบัน จะขยายตัว ออกในแนวราบสู่ ทุ ก ๆ มิติใ นชีว ิต ประจํา วัน ดัง เช่ น นั ก ประวัติศ าสตร์ Alltagsgeschichte ทีม่ แี นวโน้มมองว่าชีวติ ประจําวันเป็ นพืน้ ทีท่ ม่ี ไี ว้สร้างความหมายและคุณค่า
R
A
3. วัฒนธรรมเป็ นการสร้างสรรค์และเป็ นตัวกระทํา มองว่าวัฒนธรรมสามารถหลุดพ้นจากการกําหนด ของโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ นักประวัตศิ าสตร์คนสําคัญที่เสนอความเป็ นตัวกระทําดัง กล่าวคือทอมป์สนั อย่างไรก็ด ี ทอมป์สนั ยังมองว่าโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจยังคงเป็ นกรอบ สําคัญ นักประวัติศ าสตร์อ ย่างกินส์เ บิร์ก แสดงให้เ ห็นถึง การเป็ นตัว กระทําและความริเ ริม่ ทาง ความคิดของปจั เจกทีเ่ ป็ นคนธรรมดา ทําให้หลุดจากกรอบจํากัดทางชนชัน้ และระบบโครงสร้างมาก โดยนิยามคําว่าวัฒนธรรมอันนี้อยู่ตรงข้ามกับความเป็ นโครงสร้าง อย่างไรก็ดปี ระวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมยุคเรอเนสซองส์ท่ใี ช้ชวี ประวัตเิ ป็ นตัวเล่าเรื่องก็มลี กั ษณะเด่นอันนี้อยู่เช่นกัน จึงไม่อาจ กล่าวได้ว่าเป็ นแนวคิดทางวัฒนธรรมแบบก้าวหน้า
D
4. วัฒ นธรรมเป็ น ระบบของสัญ ญะและความหมาย เป็ น แนวคิด หลัก ของมานุ ษ ยวิท ยาสัญ ญะ โดยเฉพาะจากอิทธิพลของเกียร์ซที่มตี ่อ “new cultural history” ซึ่งงานของนักประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมชาวอเมริกนั เป็ นตัวอย่างสําคัญ โดยเห็นว่าระบบของสัญญะและความหมายเป็ นหัวใจ สําคัญของการศึกษาประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรม ซึง่ ต่างจากนักประวัตศิ าสตร์สํานักอานาลส์ทเ่ี ห็นว่า วัฒนธรรมไม่ได้เป็ นระบบในตัว ของมันเอง แต่ ต้อ งอิงอยู่ก ับโครงสร้างหรือระบบทางสัง คม นัก ประวัติศ าสตร์ว ฒ ั นธรรมอเมริก ันกลุ่ ม นี้ ต ัด โครงสร้างสัง คมออกจากการเป็ นสาเหตุ แต่ มองว่ า ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็ นส่วนหนึ่งของการสร้างความหมาย ดังที่เกียร์ซถูกวิจารณ์ว่าแทนที่จะ เห็นความสัมพันธ์ทางสังคมเป็ นสาเหตุ กลับทําให้เป็ นบริบทการตีความเพื่อไปสู่ความหมาย 98
F
T
5. วัฒนธรรมคือปฏิบตั กิ าร คําว่า “ปฏิบตั กิ าร” (practice) เป็ นศัพท์ทางสังคมวิทยาทีม่ าจากอิทธิพล ของปิ แอร์ บูรด์ เิ ยอซึง่ มาจากการวิจารณ์แนวคิดว่าวัฒนธรรมเป็ นระบบของสัญญะและการตีความ อีกทัง้ ยังเป็ นความพยายามก้าวให้พ้นจากวังวนของการให้ความสําคัญกับโครงสร้างและตัวกระทํา ในข้อถกเถียงเรือ่ งวิธกี ารทางสังคมวิทยา มองว่าวัฒนธรรมเป็นพืน้ ทีข่ องการกระทําทีเ่ ป็ นผลมาจาก เจตนา เพื่อการงัดง้างทางอํานาจ อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและพลวัต อีกทัง้ ทฤษฎีกลุ่มนี้เป็ น แนวคิด สํ า คัญ ในสาขามานุ ษ ยวิท ยา แต่ ใ นประวัติ ศ าสตร์ ล ัก ษณะดัง กล่ า วปรากฏอยู่ อ ย่ า ง กว้างขวางไม่ยดึ ติดกับสํานัก งานประวัตศิ าสตร์ของโรเจอร์ ชาติเยร์ตระหนักถึงประเด็นนี้เป็ นอย่าง ดีและค่อนข้างกล่าวถึงวัฒนธรรมในลักษณะทีเ่ ป็ นปฏิบตั กิ าร ในงานหลายชิน้ ของเอ็ดเวิรด์ ทอมป์ สันก็มองวัฒนธรรมในลักษณะดังกล่าว เช่นใน The Making of English Working Class และงาน ในช่ วงทศวรรษที่ 1990 ของนักประวัติศ าสตร์หลายท่ านก็มองวัฒนธรรมในลัก ษณะดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มทีไ่ ด้รบั อิทธิพลจากมิเชล ฟูโกซึง่ สนใจความหมายและวาทกรรมในลักษณะทีไ่ ม่ยดึ กับสัญญะและระบบ
D
R
A
ทัศนะทีเ่ ห็นว่าวัฒนธรรมเป็ นสิง่ ทีค่ วรนํามาศึกษาได้ในตัวของมันเองทําให้นกั ประวัตศิ าสตร์ส่วน หนึ่งเรียกตัวเองว่านักประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมอย่างเต็มภาคภูม ิ ไม่ได้ผูกอยู่กบั ประวัติศาสตร์สงั คม อย่างทีเ่ คยเป็ นในช่วงก่อน กระแสความสนใจทางวัฒนธรรมนี้ (cultural turn) มาพร้อมกับการเกิดขึน้ ของสาขาวัฒนธรรมศึกษา (cultural studies) และการท้าทายทางด้านวิธกี ารและญาณวิทยา ซึง่ สาขาที่ ได้รบั ผลกระทบมากที่สุดอันหนึ่งคงหนีไม่พ้นสาขามานุ ษยวิทยา เนื่องจากเคยเป็ นสาขาที่เคยผูกขาด การศึกษาวัฒนธรรม อีกทัง้ เป็ นสาขาที่ตกอยู่ในห้วงของประเด็นเรื่องการทําความเข้าใจความคิดและ ความรู้สกึ ในอดีต (empathy) มากที่สุ ด ต่ างจากที่วฒ ั นธรรมศึกษาซึ่ง มีรากฐานทางสาขามาจาก วรรณคดีวจิ ารณ์ทําให้โอบรับการท้าทายทางด้านวิธกี ารและญาณวิทยามากกว่าในภาพรวม การศึกษา ประวัติศาสตร์วฒ ั นธรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่ง ผูกอยู่กบั แนวคิดและกรอบการศึกษาด้าน วัฒนธรรมจากสาขามานุ ษยวิทยาจึงได้รบั ผลไม่น้อย ทฤษฎีทางวัฒนธรรมจากแนวคิดหลังโครงสร้าง นิ ย มจึง ส่ ง ผลต่ อ กรอบการวิเ คราะห์ด้า นประวัติศ าสตร์ว ัฒ นธรรมไม่ ม ากนัก แต่ นั ก ประวัติศ าสตร์ วัฒ นธรรมได้ ข ยายประเด็ น และขอบเขตการศึ ก ษาออกไปสู่ ป ระเด็น ศึ ก ษาจากกระแสสตรีนิ ย ม (feminism) และหลังอาณานิคม (postcolonialism) ซึง่ เป็ นผลทางอ้อมจากการท้าทายทางญาณวิทยาที่ แนวคิดหลังโครงสร้างนิยมทิง้ ไว้ให้ รวมทัง้ ความสนใจในมิตทิ างด้านอารมณ์ เป็ นพื้นที่ทข่ี อ้ เขียนด้าน ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมให้ความสนใจตัง้ แต่ครึง่ แรกของศตวรรษที่ 20 เช่นทีป่ รากฏในงานของฮุยซิงกา เฟบวร์และเอเลียส ซึง่ ได้กลายเป็ นประเด็นศึกษาสําคัญช่วงปลายศตวรรษ ก็เนื่องด้วยการพัฒนาของ 99
D
R
A
F
T
ประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมทีก่ รุยทางไว้ให้ อย่างไรก็ดสี ภาพการของประวัตศิ าสตร์วฒ ั นธรรมที่ไม่มที ท่ี าง เชิงสถาบันและสาขาวิชาก็ยงั คงอยู่ แต่มองได้ว่าเป็ นข้อดีในการเปิดรับแนวคิดจากกระแสและสาขาต่างๆ ตัง้ แต่สตรีนิยมไปจนถึงประสาทวิทยาศาสตร์
100
บรรณานุกรม
D
R
A
F
T
Ankersmit, F. R. "Historical Representation." In History and Tropology : The Rise and Fall of Metaphor, vii,244p. Berkeley ; London: University of California Press, 1994. ________. "Historiography and Postmodernism." In History and Tropology : The Rise and Fall of Metaphor, vii,244p. Berkeley ; London: University of California Press, 1994. ________. "A Phenomenomenology of Historical Experience." In History and Tropology : The Rise and Fall of Metaphor, vii,244p. Berkeley ; London: University of California Press, 1994. ________. Sublime Historical Experience. Stanford, Calif. ; [Great Britain]: Stanford University Press, 2005. Baron, Hans. The Crisis of the Early Italian Renaissance; Civic Humanism and Republican Liberty in an Age of Classicism and Tyranny. Princeton, N.J.,: Princeton University Press, 1955. Biersack, Aletta. "Local Knowledge, Local History: Geertz and Beyond." In The New Cultural History, edited by Lynn Hunt and Aletta Biersack, ix,244p. Berkeley ; London: University of California Press, 1989. Bloch, Marc. Feudal Society Volume 1. Vol. 1 Phoenix Books. Chicago: University of Chicago Press, 1964. ________. Feudal Society Volume 2. Vol. 2 Phoenix Books. Chicago: University of Chicago Press, 1964. Boldt, Andreas. "Perception, Depiction and Description of European History: Leopold Von Ranke and His Development and Understanding of Modern Historical Writing." eSharp, no. 10 (2007). [accessed 14/6/2014]. Bolléme, Geneviève, Alphonse Dupront, Jean Ehrard, Francois Furet, Daniel Roche, and Jacques Roger. Livre Et Société Dans La France Du Xviiie Siècle. Paris: Mouton, 1965. Bourdieu, Pierre, and Richard Nice. Outline of a Theory of Practice. Cambridge: Cambridge University Press, 1977. Braudel, Fernand. On History. Chicago: University of Chicago Press, 1980. Brumfitt, John Henry. Voltaire Historian. London: Oxford University Press, 1958. Burckhardt, Jacob. Reflections on History. Translated by Marie Donald Mackie Hottinger. London,: G. Allen & Unwin ltd., 1943. ________. The Civilization of the Renaissance in Italy. London, England ; New York, N.Y., USA: Penguin Books, 1990. Burke, Peter. Varieties of Cultural History. Ithaca, N.Y.: Cornell University Press, 1997. ________. What Is Cultural History? Cambridge: Polity, 2004. Kindle edition. Burke, Ulick Peter. The French Historical Revolution : The Annales School, 1929-89 Key Contemporary Thinkers. cambridge, UK.: Polity Press, 1990. Chartier, Roger. "Intellectual History or Sociocultural History? The French Trajectories." In Modern European Intellectual History : Reappraisals and New Perspectives, edited by Dominick LaCapra and Steven L. Kaplan, 317. Ithaca: Cornell University Press, 1982. ________. "Text, Symbols, and Frenchness." The Journal of Modern History 57, no. 4 (1985): 682695. ________. Cultural History : Between Practices and Representations. Cambridge: Polity in association with Blackwell, 1988. ________. The Cultural Origins of the French Revolution Bicentennial Reflections on the French Revolution. Durham, N.C.: Duke University Press, 1991. Chickering, Roger. Karl Lamprecht : A German Academic Life (1856-1915). New Jersey: Humanities Press, 1993. Clark, Stuart. "Thick Description, Thin History: Did Historians Always Understand Clifford Geertz?" In Interpreting Clifford Geertz : Cultural Investigation in the Social Sciences, edited by Jeffrey C. Alexander, Philip Smith, Matthew Norton and Peter Brooks, xiv, 216 pages. New York: Palgrave Macmillan, 2011.
101
D
R
A
F
T
Colie, R. L. "Johan Huizinga and the Task of Cultural History." The American Historical Review 69, no. 3 (1964): 607-630. Crew, David F. "Alltagsgeschichte: A New Social History "from Below"?" Central European History 22, no. 3/4 (1989): 394-407. Darnton, Robert. The Great Cat Massacre and Other Episodes in French Cultural History. Harmondsworth: Penguin, 1985. ________. "Review: The Symbolic Element in History." The Journal of Modern History 58, no. 1 (1986): 218-234. ________. The Kiss of Lamourette : Reflections in Cultural History. 1st ed. ed. New York: Norton, 1990. Davis, Natalie Zemon. The Return of Martin Guerre. Cambridge, Mass. ; London: Harvard University Press, 1983. Desan, Suzanne. "Crowds, Community, and Ritual in the Work of E. P. Thompson and Natalie Davis." In The New Cultural History, edited by Lynn Hunt and Aletta Biersack, ix,244p. Berkeley ; London: University of California Press, 1989. Dewald, Jonathan. "Roger Chartier and the Fate of Cultural History." In Historiography : Critical Concepts in Historical Studies Volume 4: Culture, edited by R. M. Burns. London: Routledge, 2006. Eley, Geoff. "Labor History, Social History, "Alltagsgeschichte": Experience, Culture, and the Politics of the Everyday--a New Direction for German Social History?" The Journal of Modern History 61, no. 2 (1989): 297-343. ________. A Crooked Line : From Cultural History to the History of Society. Ann Arbor: University of Michigan Press, 2005. Elias, Norbert. The Civilizing Process : Sociogenetic and Psychogenetic Investigations. Translated by Edmund Jephcott. Revised ed. Oxford, U.K.: Blackwell, 2000. Febvre, Lucien. A New Kind of History : From the Writings of Febvre. London,: Routledge and Kegan Paul, 1973. ________. The Problem of Unbelief in the Sixteenth Century : The Religion of Rabelais. Translated by Beatrice Gottlieb. Cambridge, Mass.: Harvard University Press, 1982. Feldman, Burton, and R. D. Richardson. The Rise of Modern Mythology, 1680-1860. [S.l.]: Indiana U Pr., 1972. Fontenelle, Bernard de. Oeuvres De Fontenelle, Précédées D'une Notice Historique Sur Sa Vie Et Ses Ouvrages. Paris: Paris, 1825. Force, Pierre. "Voltaire and the Necessity of Modern History." Modern Intellectual History 6, no. 03 (2009): 457-484. Geertz, Clifford. "Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight." In The Interpretation of Cultures; Selected Essays, 470. New York,: Basic Books, 1973. ________. The Interpretation of Cultures; Selected Essays. New York,: Basic Books, 1973. ________. Local Knowledge : Further Essays in Interpretive Anthropology. London: Fontana, 1993, 1983. Ginzburg, Carlo. The Cheese and the Worms : The Cosmos of a Sixteenth-Century Miller. Baltimore: Johns Hopkins University Press, 1980. ________. "Microhistory: Two or Three Things That I Know About It." Critical Inquiry 20, no. 1 (1993): 10-35. Goldthwaite, Richard A. The Economy of Renaissance Florence. Baltimore, Md.: Johns Hopkins University Press, 2009. Gramsci, Antonio. "Questions of Culture." In The Gramsci Reader : Selected Writings, 1916-1935, edited by David Forgacs, 447 p. New York: New York University Press, 2000. ________. "Philantrophy, Good Will and Organization." In Culture : Critical Concepts in Sociology, edited by Chris Jenks, 2. London: Routledge, 2003. Green, Anna. Cultural History. Basingstoke: Palgrave Macmillan, 2008.
102
D
R
A
F
T
Heller, Erich. The Importance of Nietzsche : Ten Essays. Chicago: University of Chicago Press, 1988. Hinde, John Roderick. Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity Mcgill-Queen's Studies in the History of Ideas. Montreal ; Ithaca: McGill-Queen's University Press, 2000. Huizinga, J. "History Changing Form." Journal of the History of Ideas 4, no. 2 (1943): 217-223. Huizinga, Johan. Men and Ideas : History of the Midle Ages, the Renaissance: Eyre & Spottiswoode, 1960. Huizinga, Johan, and Frederik Hopman. The Waning of the Middle Ages : A Study of the Forms of Life, Thought, and Art in France and the Netherlands in the Fourteenth and Fifteenth Centuries. Harmondsworth: Penguin, 1976. Hunt, Lynn. "French History in the Last Twenty Years: The Rise and Fall of the Annales Paradigm." Journal of Contemporary History 21, no. 2 (1986): 209-224. ________. "Introduction." In The New Cultural History, edited by Lynn Hunt and Aletta Biersack. Berkeley ; London: University of California Press, 1989. ________. The Family Romance of the French Revolution. Berkeley: University of California Press, 1992. Hutton, Patrick H. "The History of Mentalities: The New Map of Cultural History." History and Theory 20, no. 3 (1981): 237-259. Jones, Gareth Stedman. Languages of Class : Studies in English Working Class History 1832-1982. Cambridge: Cambridge University Press, 1983. Kelley, Donald R. Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga. New Haven: Yale University Press, 2003. ________. "The Old Cultural History." In Historiography : Critical Concepts in Historical Studies, edited by R. M. Burns, 1. London: Routledge, 2006. Le Goff, Jacques, Roger Chartier, and Jacques Revel. La Nouvelle Histoire. Paris: C.E.P.L., 1978. Le Goff, Jacques, and Pierre Nora. Constructing the Past : Essays in Historical Methodology. Cambridge,: Cambridge University Press, 1985. Le Roy Ladurie, Emmanuel. Montaillou, the Promised Land of Error. New York: Vintage Books, 1979. Levi, Giovanni. "On Microhistory." In New Perspectives on Historical Writing, edited by Ulick Peter Burke, 254. University Park, Pa.: Pennsylvania State University Press, 1992. Lüdtke, Alf. "Introduction: What Is the History of Everyday Life and Who Are Its Practitioners?" In The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, edited by Alf Lüdtke, xiii, 318 p. Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995. Magnússon, Sigurður G. , and István Szíjártó. What Is Microhistory? : Theory and Practice. Milton Park, Abingdon, Oxon: Routledge, 2013. Medick, Hans. ""Missionaries in the Row Boat"? Ethnological Ways of Knowing as a Challenge to Social History." In The History of Everyday Life : Reconstructing Historical Experiences and Ways of Life, edited by Alf Lüdtke, xiii, 318 p. Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1995. Montesquieu, Charles de Secondat baron de. The Spirit of the Laws. Translated by Anne M. Cohler, Basia Carolyn Miller and Harold Samuel Stone. Cambridge: Cambridge University Press, 1989. Pocock, J. G. A. Barbarism and Religion. Cambridge, U.K.: Cambridge University Press, 1999. Ranke, Leopold von. A History of England, Principally in the Seventeenth Century. Vol. 1. Kindle edition. Reddy, William M. "Review: The Cultural Origins of the French Revolution by Roger Chartier; Lydia G. Cochrane." Social History 17, no. 2 (1992): 359-361. Revel, Jacques. "Microanalysis and the Construction of the Social." In Histories : French Constructions of the Past, edited by Jacques Revel, Lynn Avery Hunt and Arthur Goldhammer, xx, 654. New York: New Press, 1998. Rhodes, R. Colbert. "Emile Durkheim and the Historical Thought of Marc Bloch." Theory and Society 5, no. 1 (1978): 45-73.
103
F
T
Rüsen, Jörn. "Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of PostModernism." History and Theory 24, no. 3 (1985): 235-246. Sakmann, Paul. "The Problems of Historical Method and of Philosophy of History in Voltaire [1906]." History and Theory 11, no. Enlightenment Historiography: Three German Studies (1971): 2459. Sewell, William Hamilton. Work and Revolution in France : The Language of Labor from the Old Regime to 1848. Cambridge: Cambridge University Press, 1980. ________. Logics of History : Social Theory and Social Transformation Chicago Studies in Practices of Meaning. Chicago: University of Chicago Press, 2005. Swidler, Ann. "Geertz's Ambiguous Legacy." Contemporary Sociology 25, no. 3 (1996): 299-302. Thompson, E. P. "The Moral Economy of the English Crowd in the Eighteenth Century." Past & Present, no. 50 (1971): 76-136. ________. The Making of the English Working Class. London: Gollancz, 1980. Thompson, Edward Palmer. Customs in Common. New York: New Press, 1991. Volpihac-Auger, Catherine. "Voltaire and History." In The Cambridge Companion to Voltaire, edited by Nicholas Cronk, xv, 235 p. Cambridge: Cambridge University Press, 2009. Voltaire. The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes. Vol. 22. Akron: Warner, 1906. ________. The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes. Vol. 37. Akron: Werner, 1906. Williams, Raymond. Marxism and Literature. Oxford: Oxford University Press, 1977. ________. Keywords : A Vocabulary of Culture and Society. Rev. ed. New York: Oxford University Press, 1985. ________. Resources of Hope : Culture, Democracy, Socialism. London: Verso, 1989.
D
R
A
พึ่งสุนทร, วิศ รุต. ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่ อ นคริสต์ศ ตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สํานัก พิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2556. รพีพฒ ั น์, อคิน. วัฒนธรรมคือความหมาย : ทฤษฎีและวิธกี ารของคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ. กรุงเทพฯ: ศูนย์ มานุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน), 2551.
104