๑
“เมืองยอง” ในเมืองนครลาพูน ภูเดช แสนสา “เมืองยอง” เป็ นหัวเมืองหนึ่งที่มีชาวไทลื้ออาศัยอยูเ่ ป็ นกลุ่มหลัก สถาปนาเมืองขึ้นมาตั้งแต่ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙๑ สถานภาพของเมืองยองบางช่วงเป็ นเมืองอิสระหรื อเป็ นเมืองศูนย์กลาง การปกครองของหัวเมืองบริ วารที่อยูร่ ายรอบ บางช่วงก็เป็ นเมืองขึ้นของสิ บสองพันนา ล้านนา หรื อ พม่า ส่ วนในปัจจุบนั เมืองยองมีสถานะเป็ นอําเภอหนึ่งที่ข้ ึนกับจังหวัดเชียงตุง ประเทศพม่า(เมียนมาร์ ) แต่ทว่าด้วยปั จจัยด้านศึกสงครามในสมัย “ยุคเก็บผักใส่ ซ้าเก็บข้ าใส่ เมือง” หรื อ “ยุคเก็บฮอมตอมไพร่ ” ชาวเมืองยองกลุ่มใหญ่ได้ถูกกวาดต้อนลงมาตั้งถิ่นฐานในล้านนาตั้งแต่พ.ศ.๒๓๔๘ แต่สิ่งที่น่าสนใจ สําหรับการกวาดต้อนชาวเมืองยองมาในครั้งนี้คือมีการนํามาทั้งระบบ ทั้งเจ้าฟ้ า(เจ้าเมือง) เจ้านาย ขุน นาง พระภิกษุสามเณร และชาวเมือง จึงทําให้กลุ่มชนชั้นปกครองผูอ้ พยพมาจากเมืองยองมีอาํ นาจใน การต่อรองทางการเมือง จนสามารถมีส่วนร่ วมในการตัดสิ นคดีความขัดแย้งของเชื้ อพระวงศ์เมืองนคร ลําพูนและเชื้อพระวงศ์เมืองยอง และโดยเฉพาะสามารถสถาปนา “เมืองยอง” ขึ้นบนพื้นที่ที่อพยพเข้า มาตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่ บริ เวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ าํ กวง(เวียงยอง)ในเมืองนครลําพูน บทบาทไพร่ พลเมืองยองกับการฟื้ นฟูเมืองนครลาพูนในพ.ศ.๒๓๔๘ ชาวเมืองยองก่อนถูกกวาดต้อนครั้งใหญ่ในพ.ศ.๒๓๔๘ ก่อนหน้านี้ปรากฏหลักฐานมีชาวเมือง ยองกลุ่มใหญ่ได้หลบหนีภยั สงครามกับพม่าไปอยูเ่ มืองหลวงภูคาเมื่อพ.ศ.๒๓๓๑ (ส่ วนตํานานพื้นเมือง เชียงใหม่ระบุวา่ พ.ศ.๒๓๒๙) ภายหลังพม่าเข้าตีเมืองหลวงภูคาจึงได้หนี เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนคร น่านจํานวน ๕๘๕ ครอบครัวเมื่อพ.ศ.๒๓๓๓ โดยมีผปู้ กครองชาวเมืองยองทําการปกครองชาวเมืองที่ อพยพเหล่านี้ในเมืองนครน่าน คือ เจ้าพญาศรี (อ่านว่า “เจ้าพญาสะหรี ”) และราชาปราบโลก๒ ส่ วน การฟื้ นฟูเมืองนครลําพูนขึ้นใหม่อีกครั้งในพ.ศ.๒๓๔๘ นั้น มีการบันทึกไว้อย่างสังเขปในพระราช พงศาวดารของสยามและตํานานพื้นเมืองต่างๆ ของล้านนา ในส่ วนพระราชพงศาวดารของทางฝ่ าย สยามบันทึกไว้วา่ พระเจ้ากาวิละ พระเจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕ – ๒๓๕๘) ทรงแบ่ง ไพร่ พลเมืองนครเชียงใหม่เป็ นคนฉกรรจ์จาํ นวน ๑,๐๐๐ คน และพระเจ้าหอคําดวงทิพย์ พระเจ้านคร ลําปางองค์ที่ ๕ (พ.ศ.๒๓๓๗ – ๒๓๖๘) ทรงแบ่งไพร่ พลจากเมืองนครลําปางจํานวน ๕๐๐ คน ให้ ๑ ๒
สรัสวดี อ๋ องสกุล, ประวัติศาสตร์ ล้านนา, พิมพ์ครั้งที่ ๔,(กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๕๑), หน้า ๒๓๔.
“ตํานานพระธาตุแช่แห้ง” ใน สรัสวดี อ๋ องสกุล (ปริ วรรต), พืน้ เมืองน่ าน ฉบับวัดพระเกิด, (กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๓๙), หน้า ๓๕.
๒
เจ้าหลวงคําฝั้น เจ้าผูค้ รองนครลําพูนองค์ที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๔๘ – ๒๓๕๗) นําไพร่ พลจากทั้ง ๒ เมืองเข้า ทําการฟื้ นฟูเมืองนครลําพูน๓ ส่ วนตํานานพื้นเมืองต่างๆ ของล้านนาก็บนั ทึกไว้เพียงสั้นๆ ว่า “...พระเจ้ าเมืองใต้ (กษัตริ ย์สยามรั ชกาลที่ ๑)มีตราขึน้ มารอดเมืองนคอร เชี ยงใหม่ ว่ า หื ้อได้ ตั้งเมืองละพูน จิ่งหื ้อเจ้ าพระญาเมืองแก้ วได้ เปนใหญ่ กับ ไพร่ เมืองทัง ๕๐๐ ในเมืองนคอร จิ่งหื ้อเจ้ าสรี บุญมาหื ้อเปนอุปราชากับด้ วยริ พล ๕๐๐ หื ้อมาอยู่ละพูนกับด้ วยอาชญาตนพี่แล้ ว จิ่งหื ้อเจ้ าฟ้ าเมืองยองหื ้อทวยไปตั้งอยู่เปนบ้ านเมือง...” ๔ “...สักกะ ๑๑๖๗ ตัว ปี ดับเป้ า เดือน ๘ ออก ๑๔ คา่ ...ได้ เมืองยอง เจ้ ามหาอุปราชา เอาเจ้ าฟ้ าเมืองยองมาอยู่เมืองลพุน ทั้งน้ อง ลูก เมีย ไพร่ ... เข้ ามาเวียงไปตั้งเมืองลพุน...” ๕ “...สกราช ๑๑๖๗ ตัว ปี ดับเป้ า เดือน ๕ เชี ยงใหม่ ละคอร ขึน้ ตีเอาเมืองยองแตกแล...” ๖ จํานวนตัวเลขไพร่ พลจากเมืองนครเชียงใหม่จาํ นวน ๑,๐๐๐ คน ของพระราชพงศาวดารอาจคลาดเคลื่อน เพราะ ตํานานพื้นเมืองต่างๆ ของเชี ยงใหม่ ลําปาง น่าน และเชียง แสน บันทึกตรงกันว่าจํานวนไพร่ พลจากเมืองนครเชียงใหม่ และเมืองนครลําปางมีเมืองละ ๕๐๐ คน การตั้งเมืองนคร ลําพูนขึ้นใหม่น้ ี ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม่และตํานาน เจ้ าหลวงคาฝั้น เจ้ าผู้ครองนครลาพูนองค์ แรก พ.ศ.๒๓๔๘ – ๒๓๕๗ (ที่มา : เจ้าหลวงเชียงใหม่)
พื้นเมืองเชียงแสนได้ให้รายละเอียดมากกว่าหลักฐานอื่น ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงพระเจ้ากาวิละทรงโปรด ให้เจ้ารัตนหัวเมืองแก้ว(เจ้าบุรีรัตน์, เจ้าคําฝั้น) เมืองนคร เชียงใหม่ เจ้าศรี บุญมา เมืองนครลําปาง นําไพร่ พลเมืองละ
๓
“พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลําปาง เมืองลําพูนไชย” ในสํานักพิมพ์กา้ วหน้า, ประชุ มพงศาวดาร ฉบับหอสมุดแห่ งชาติ เล่ม ๒ (ภาคที่ ๓, ๔ และ ๕), (พระนคร : รุ่ งเรื องรัตน์, ๒๕๐๗), หน้า ๖๖๑. ๔
“ตํานานเจ้าเจ็ดพระองค์กบั หอคํามงคล ฉบับแสนปั ญญา” ในวัดป่ าตันกุมเมือง, อนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพพระครู เรื อน สุ ธมฺโม
เจ้ าอาวาสวัดป่ าตันกุมเมือง, (ลําปาง : ลําปางการพิมพ์, ๒๕๓๐), หน้า ๔๒ - ๔๓. ๕
“จดหมายเหตุลา้ นนา” ในสรัสวดี อ๋ องสกุล(ปริ วรรต), หลักฐานประวัติศาสตร์ ล้านนา จากเอกสารคัมภีร์ใบลานและพับหนังสา, (เชียงใหม่ : สถาบันราชภัฏ, ๒๕๓๖), หน้า ๒๕. ๖
พระครู สมุห์ภทั รพล ธมฺ มสุนฺทโร(ปริ วรรต), ปัคคทืนเชียงแสน – ละกอน พ.ศ.๒๒๘๒ - ๒๔๒๘, (ลําปาง : นํ้าโท้งการพิมพ์, ๒๕๕๓), หน้า ๘.
๓
๕๐๐ คน เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองพร้อมกับราชอนุชา ๓ องค์และท้าวพญาเสนาอามาตย์ของเมืองยองทํา การแผ้วถางเวียงลําพูน หลังจากนั้นได้นิมนต์ให้ครู บามหาเถระจํานวน ๑๐๘ รู ปทําการสวดพุทธมนต์ ทําบุญให้ทาน ๙ แห่ง คือทักษาเมืองทั้ง ๘ และที่วดั หลวงสะดือเมือง(วัดพระธาตุหริ ภุญไชย) ใน เดือน ๗ ขึ้น ๘ คํ่า วันพฤหัสบดี ยามใกล้เที่ยง ก็ยกไพร่ พลเข้าตั้งเวียงลําพูน๗ ส่ วนหลักฐานของ เมืองเชียงแสนได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่านอกจากตั้งเวียงลําพูนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ าํ กวง ที่เคย เป็ นเวียงโบราณมาตั้งแต่สมัยหริ ภุญไชยของเจ้านายเมืองนครลําพูน พร้อมกับไพร่ พลที่มาจากเมืองนคร เชียงใหม่และนครลําปางจํานวน ๑,๐๐๐ คนแล้ว ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ าํ กวงก็สถาปนาเวียงขึ้นอีก แห่งหนึ่งของเจ้านายเมืองยองพร้อมกับไพร่ พลชาวเมืองยองจํานวน ๑,๒๐๐ คน๘ การตั้งเมืองนครลําพูนขึ้นใหม่ในพ.ศ.๒๓๔๘ นี้ เท่าที่ผา่ นมายังไม่พบหลักฐานที่ให้ รายละเอียดมากกว่าที่กล่าวมาในข้างต้น จนกระทัง่ ผูเ้ ขียนได้พบเอกสารจดหมายเหตุการตั้งเมืองนคร ลําพูนที่ได้บนั ทึกไว้ค่อนข้างละเอียดกว่าหลักฐานที่พบก่อนหน้านี้วา่ เจ้าบุรีรัตน์(เจ้าคําฝั้น) เมืองนคร เชียงใหม่ เจ้าศรี บุญมา เมืองนครลําปาง ได้ทรงให้ ไพร่ พลแผ้วถางภายในเวียงและนอกเวียงลําพูน แล้ว นิมนต์ครู บามหาเถระจํานวน ๑๑๐ รู ปสวดพระ ปริ ตร ทําการเลี้ยงผีอารักษ์เมืองนครลําพูน ได้เข้าตั้ง เวียงลําพูนในเดือน ๗ ขึ้น ๕ คํ่า แต่ที่น่าสนใจก็คือ หลักฐานชิ้นนี้นอกจากกล่าวว่ามีไพร่ พล(ไทยวน)มา จากเมืองนครเชียงใหม่และเมืองนครลําปางเมืองละ ๕๐๐ คน ยังระบุจาํ นวนไพร่ พลของเมืองยองที่ได้ เกณฑ์เข้ามาตั้งเมืองนครลําพูนอย่างละเอียดว่า มีไพร่ พลชาวยองจากเมืองนครเชียงใหม่ ๓๙๐ คน จาก เมืองนครลําปาง ๔๑๐ คน และจากเมืองเถิน ๒๑ คน รวมไพร่ พลเมืองยอง ๘๒๑ คน ส่ วนในเมือง นครแพร่ น้ นั ขณะที่เข้าตั้งเมืองนครลําพูน กําลังส่ งให้ พญาเทพ ขุนนางชาวเมืองยองพร้อมกับแสนท้าวและ วงรีซ้ายมือคือเวียงลาพูน ไพร่ อีก ๑๐ คน เดินทางไปขอไพร่ พลชาวเมืองยอง มีแม่ นา้ กวงไหลผ่านด้ านทิศตะวันออก ในส่ วนที่ถูกแบ่งไว้ในเมืองนครแพร่ จากเจ้าหลวงเทพ ตรงข้ ามกับเวียงลาพูนด้ านขวามือคือพืน้ ที่ วงศ์(เจ้าน้อยอุปเสน) เจ้าผูค้ รองนครแพร่ องค์ที่ ๒ ทีถ่ ูกสถาปนาขึน้ เป็ นเมืองยอง(เวียงยอง) ๗
ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(เชี ยงใหม่ : มิ่งเมือง, ๒๕๓๘), หน้า ๑๔๓. ๘
“คํามะเกล่าเมืองเชียงแสน” ในสรัสวดี อ๋ องสกุล (ปริ วรรต), พืน้ เมืองเชียงแสน, (กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๔๖), หน้า ๒๕๒.
๔
(ถึงพ.ศ.๒๓๕๙) และภายหลังได้เกณฑ์ชาวเมืองหลวย(อาจมีชาวเมืองยูร้ วมอยูด่ ว้ ย) จากเมืองนคร ลําปางมาไว้ที่เมืองนครลําพูนอีก ๑๗๔ คน ในส่ วนของเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองและเจ้านายขุนนาง เดิม ได้ถูกจัดแบ่งให้ต้ งั ถิ่นฐานอยูท่ ี่เมืองนครเชียงใหม่ก่อนจะเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนครลําพูน ดังตํานาน พื้นเมืองระบุวา่ “...เถิงศักราชได้ ๑๑๖๗ ตัว(พ.ศ.๒๓๔๘) ปี ดับเป้ า เจ้ ามหาอุปราชาขึน้ ไปกวาดเอา เจ้ าเมืองมหิ ยงั ครั ฐ(เมืองยอง) กับไพร่ เมืองลงมาอยู่เมืองรั ตนติงสา(เมืองนครเชี ยงใหม่ )หั้นแล ...” ๙ “...เจ้ ารั ตตนะราชชะวังหลัง มีปริ วารได้ ๕๐๐ ฅน...กับทังพระญามหิ ยงั ครั ฏฐปุรี ๔ ตนพี่น้องแลท้ าวพระญาข้ าเจ้ าไพร่ ไทในเมืองยองทังมวลลงไพเผีย้ วถากเมืองหริ ภุญไชย...” ๑๐ จากหลักฐานนี้จึงแสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งไพร่ พลเมืองยองที่กวาดต้อนมาในพ.ศ.๒๓๔๘ ให้กบั เมืองต่างๆ ที่ร่วมยกกองทัพขึ้นไปตีเหมือนเมื่อครั้งตีเมืองนครเชียงตุงพ.ศ.๒๓๔๕ และตีเมือง เชียงแสนเมื่อพ.ศ.๒๓๔๗ ภายในปี เดียวกันนี้(พ.ศ.๒๓๔๘)เมื่อจะจัดตั้งเมืองนครลําพูนจึงได้เกณฑ์ไพร่ พลจากเมืองนครเชียงใหม่และเมืองนครลําปาง แต่เมืองเหล่านี้ก็ไม่ตอ้ งการให้ไพร่ พลดั้งเดิม(ไทยวน) ของเมืองตนเองถูกแบ่งออกไปมากนัก ดังปรากฏหลักฐานว่าภายหลังจากพระเจ้าหอคําดวงทิพย์ พระ เจ้านครลําปาง ได้ทรงส่ งเจ้าศรี บุญมา(ราชอนุชาพระเจ้าหอคําดวงทิพย์) เจ้ามหาขนานไชยวงศ์(ราชบุตร พระเจ้าหอคําดวงทิพย์) แสนนันทะ พร้อมกับแสนท้าวทั้งหลายคุมไพร่ พลจํานวน ๕๐๐ คน เข้าช่วย แผ้วถาง สร้างคุม้ หลวงและคุม้ เจ้านายในเมืองนครลําพูนเสร็ จแล้ว พระเจ้าหอคําดวงทิพย์ เจ้าอุปราช (เจ้าหมูหล้า) และเจ้าราชวงศ์(เจ้ามหาขนานไชยวงศ์) เมืองนครลําปาง ได้ทรงมีศุภอักษรลงไปถึง กษัตริ ยส์ ยาม เพื่อต่อรองขอลดไพร่ พลที่เกณฑ์จากเมืองนครลําปางจาก ๕๐๐ คนให้เหลือ ๓๐๐ คนไว้ ที่เมืองนครลําพูน พร้อมจัดส่ งไพร่ พลที่กวาดต้อนมาจากเมืองยอง เมืองหลวย รวม ๕๘๔ คนให้เมือง นครลําพูน โดยให้เหตุผลว่าบ้านเมืองยังไม่สงบผูค้ นเมืองนครลําปางเบาบาง เพราะเมื่อครั้งพระเจ้ากาวิ ละทรงตั้งเมืองป่ าซางเมื่อพ.ศ.๒๓๒๕ ก็แบ่งไพร่ พลให้ ๓๐๐ คน และเมื่อครั้งฟื้ นฟูเมืองนคร เชียงใหม่ในพ.ศ.๒๓๓๙ ก็ได้ทรงแบ่งไพร่ พลให้พระเจ้ากาวิละอีก ๔๐๐ คน ดังนั้นเมืองนครลําปาง จะต้องมีไพร่ พลป้ องกันและเพาะปลูกเป็ นเสบียงอาหาร๑๑ ด้วยการที่ชาวเมืองยองเป็ นไพร่ พลที่เพิ่งถูก กวาดต้อนเข้ามาแบ่งไว้ในหัวเมืองต่างๆ เจ้าผูค้ รองนครและเจ้าเมืองจึงยินดีแบ่งให้มาตั้งเมืองนครลําพูน มากกว่าไพร่ เดิม(ไทยวน) ดังปรากฏหลักฐานการแบ่งไพร่ พลชาวเมืองยองมาจากเมืองนครเชียงใหม่ ๙
สถาบันวิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่, ตานานมังราย เชียงใหม่ เชียงตุง,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖), หน้า ๑๒.
๑๐ ๑๑
ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๔๓. หวญ.ร.๔ เลขที่ ๓๐ จ.ส.๑๒๒๘ สุ ภอักสรเมืองเชี ยงใหม่ จ.ศ.๑๒๒๘ (มีการเก็บเอกสารการตั้งเมืองนครลําพูนแทรกไว้ในหมวดนี้ )
๕
เมืองนครลําปาง เมืองนครแพร่ และเมืองเถิน(ขณะนั้นเมืองเถินขึ้นกับเมืองนครเชี ยงใหม่)มารวมไว้ที่ เมืองนครลําพูน แต่ทว่าคนจากเมืองยองในเมืองนครลําปางและเมืองนครแพร่ ภายหลังจากเจ้าผูค้ รองนครทั้ง ๒ เมืองได้จดั ส่ งให้มาตั้งฟื้ นฟูเมืองนครลําพูนเมื่อพ.ศ.๒๓๔๘ ยังมีไพร่ พลชาวเมืองยองบางส่ วนเหลือ ตกค้างอยู่ คือ เมืองนครลําปางเหลือ ๗ ครอบครัว อยูท่ ี่บา้ นกล้วยหลวง แล้วภายหลังได้ขยายตัว ออกมาตั้งหมู่บา้ นกล้วยแพะ บ้านกล้วยกลาง บ้านกล้วยม่วง บ้านหัวฝาย(ตําบลกล้วยแพะ อําเภอเมือง จังหวัดลําปาง) บ้านแม่ปุง และบ้านฮ่องห้า(ตําบลนํ้าโจ้ อําเภอแม่ทะ จังหวัดลําปาง) ผูน้ าํ ชาวยองก็จะ ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าผูค้ รองนครลําปางให้เป็ นพ่อแคว่น(กํานัน) ปกครองหมู่บา้ นชาวไทลื้อจากเมืองยอง เหล่านี้ เช่น พญาอ้าย(ต้นตระกูล “พุฒใจกา”) และพญาสุ ทธิ(ต้นตระกูล “หอมแก่นจันทร์ ”)๑๒ ส่ วน ในเมืองนครแพร่ เหลืออยูท่ ี่บา้ นถิ่น(หมู่ที่ ๑, ๒, ๓ และ ๕, บ้านถิ่นตั้งชื่ อตามชื่อหมู่บา้ นเดิมในเมือง ยอง) ตําบลบ้านถิ่น อําเภอเมือง จังหวัดแพร่ น่าสังเกตว่าชาวเมืองยองที่อยูใ่ นเมืองนครลําปางและ เมืองนครแพร่ เรี ยกตนเองว่าเป็ น “ไทลื้อ” สื บมาจนถึงปั จจุบนั อาจด้วยเป็ นกลุ่มคนจํานวนไม่มากจึง สามารถระบุได้ชดั เจนว่าเป็ นไทลื้อที่มาจากเมืองยอง ต่างจากชาวเมืองยองที่อยูใ่ นเมืองนครลําพูนที่ เรี ยกตนเองว่า “ไทยอง” ตามชื่อเมือง สันนิษฐานว่าด้วยเป็ นคนกลุ่มใหญ่มีหลากหลายชาติพนั ธุ์จาก เมืองยองเข้ามารวมกันอยูจ่ ึงไม่สามารถกล่าวรวมว่าเป็ น “ไทลื้อ” ได้ท้ งั หมด รวมถึงความเป็ นคนเมือง ยองก็ถูกใช้สืบเนื่องมาถึงการตั้งถิ่นฐานใหม่ในเมืองนครลําพูน ดังปรากฏมีการสถาปนา “เมืองยอง” ขึ้นบนฝั่งตะวันออกแม่น้ าํ กวง จึงทําให้ชาวเมืองยองและคนทัว่ ไปเรี ยกกลุ่มชาวเมืองยองในเมืองนคร ลําพูนว่าเป็ น “ไทเมืองยอง” หรื อ “ไทยอง” สื บมาจนถึงปั จจุบนั ซึ่ งจะได้กล่าวรายระเอียดต่อไป สถานะของเมืองยองหัวเมืองขึน้ ของเมืองนครลาพูน เมื่อเริ่ มฟื้ นฟูเมืองนครลําพูนในพ.ศ.๒๓๔๘ สังเกตว่าไพร่ พลที่นาํ มาตั้งเป็ นไพร่ พลดั้งเดิมกับ ไพร่ พลเมืองยองมีจาํ นวนที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองจึงมีอาํ นาจต่อรองกับเจ้าผูค้ รองนคร ลําพูนพอสมควร ดังปรากฏมีการสถาปนา “เวียงยอง” ๑๓ ขึ้นบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ าํ กวงเพื่อเป็ น ศูนย์กลางการปกครองไพร่ พลที่มาจากเมืองยอง พร้อมทั้งสถาปนาบริ เวณฝั่งตะวันออกแม่น้ าํ กวงนี้ให้ เป็ น “เมืองยอง” หัวเมืองขึ้นตรงต่อเมืองนครลําพูน ซึ่งปรากฏหลักฐานจารึ กในพ.ศ.๒๓๗๘ ได้ กล่าวถึงหัวเมืองบริ วารที่ข้ ึนตรงต่อเมืองนครลําพูนมีจาํ นวน ๔ หัวเมือง คือ ๑๒ ๑๓
ประชัน รักพงษ์ และคณะ, การศึกษาหมู่บ้านไทยลือ้ ในจังหวัดลาปาง,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๐), หน้า ๑๑.
คําว่า “เวียง” โดยทัว่ ไปหมายถึงบริ เวณที่มีคูน้ าํ คันดินล้อมรอบ แต่กรณี “เวียงยอง” ในเมืองนครลําพูนนี้ เป็ นการสถาปนาขึ้นมาโดย ไม่มีการสร้างคูน้ าํ คันดินล้อมรอบ สถาปนาขึ้นเพียงเพื่อเป็ นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็ นที่อยูข่ องกลุ่มเจ้านายเมืองยองและเป็ นศูนย์กลางการ ปกครองของเมืองยอง(หัวเมืองขึ้นเมืองนครลําพูน) ดังนั้นพื้นที่น้ ี จึงเรี ยกว่า “เวียงยอง” หรื อ “บ้านเวียงยอง” สื บมาจนถึงปัจจุบนั
๖
(๑) เมืองยอง ตั้งอยูฝ่ ั่งแม่น้ าํ กวง ทิศตะวันออกตรงข้ามเมืองนครลําพูน (๒) เมืองป่ าซาง ตั้งอยูล่ าํ นํ้าแม่ทาฝั่งตะวันตก (๓) เมืองหนองล่อง ตั้งอยูแ่ ม่น้ าํ ลี้ฝั่งทิศเหนือ (๔) เมืองลี้ ตั้งอยูป่ ลายแม่น้ าํ ลี้ฝั่งทิศใต้๑๔ จากหลักฐานเมืองยองช่วงนี้ จึงมีสถานะเป็ นหัวเมืองหนึ่งที่ข้ ึนต่อเมืองนครลําพูน ซึ่ งการที่มี กลุ่มคนต่างบ้านต่างเมืองอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานพร้อมกับมีผนู ้ าํ ปกครอง และเจ้าผูค้ รองนคร ทรงโปรดยกสถานะให้เป็ นหัวเมืองที่ข้ ึนตรงต่อเจ้าผูค้ รองนครพบได้ทวั่ ไปในยุคจารี ต ดังในเมืองนคร ลําปางช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีหวั เมืองขึ้นทั้งหมดจํานวน ๑๓ หัวเมือง และมีอยู่ ๒ หัวเมืองที่เป็ นเมือง ที่สถาปนาขึ้นใหม่ให้กบั เจ้านายและไพร่ พลที่อพยพหรื อถูกกวาดต้อนเข้ามา คือ เมืองพยาก ตั้งอยูท่ ิศ เหนื อเมืองนครลําปาง(ติดกับเมืองงาว) และเมืองพะเยา(พยาว) ตั้งอยูฝ่ ั่งตะวันตกแม่น้ าํ วัง(บริ เวณตําบล เวียงเหนือ อําเภอเมือง จังหวัดลําปาง) มีวดั พะเยา(วัดปงสนุก)เป็ นวัดสําคัญของเมือง มีการสถาปนา “เวียงพะเยา” เป็ นศูนย์กลางการปกครอง และมีเจ้าฟ้ าเมืองพะเยาเป็ นเจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อเจ้าผู ้ ครองนครลําปาง๑๕ อาจด้วยที่ เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองยังคงมี สถานะเป็ นเจ้าเมืองยองที่ สถาปนาขึ้นใหม่ที่ข้ ึนตรงต่อ เมืองนครลําพูน ดังนั้นตํานาน พื้นเมืองเชียงแสนจึงเรี ยกพระ นามเจ้าหลวงคําฝั้น เจ้าผูค้ รอง นครลําพูนองค์แรก(พ.ศ.๒๓๔๘ – ๒๓๕๗)ว่าเป็ น “เจ้าเมืองยอง ละพูน” ๑๖ หรื อตํานานพื้นเมือง ขัว(สะพาน)ข้ ามแม่ นา้ กวงตรงประตูท่าสิ งห์ เชียงใหม่ก็เรี ยกพระนามว่า “เจ้า กาแพงเวียงลาพูนด้ านหน้ าวัดพระธาตุหริภุญชั ย ๑๗ ฟ้ าหลวงเมื อ งหริ ภ ุ ญ ไชย” เชื่ อมระหว่ างเมืองนครลาพูน(เวียงลาพูน)กับเมืองยอง(เวียงยอง) เพื่อแสดงถึงการเป็ น “เจ้าฟ้ า (ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) ๑๔ ๑๕
กรมศิลปากร, ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน, (พระนคร : เจริ ญธรรม, ๒๕๐๖), หน้า ๒๐๗. “ภายหลังในพ.ศ.๒๓๘๖ ได้มีการอพยพชาวเมืองพะเยาที่อยูบ่ ริ เวณปงสนุ กริ มฝั่งแม่น้ าํ วังกลับขึ้นไปตั้งเมืองพะเยาอีกครั้ง โดยที่เมือง
พะเยายังคงสถานะเป็ นหัวเมืองขึ้นของเมืองนครลําปางตามเดิม” กรมศิลปากร, ประชุ มจารึกวัดพระเชตุพน, (อ้างแล้ว), หน้า ๒๐๗. ๑๖ ๑๗
“คํามะเกล่าเมืองเชี ยงแสน” ในสรัสวดี อ๋ องสกุล (ปริ วรรต), พืน้ เมืองเชียงแสน, (อ้างแล้ว), หน้า ๒๕๒. ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๔๖.
๗
หลวง” ปกครองเมืองนครลําพูน เมืองยอง รวมถึงหัวเมืองขึ้นอื่นๆ เมืองยองที่ต้ งั ขึ้นใหม่ สันนิษฐานว่าในระยะแรกได้นาํ โครงสร้างการปกครองแบบที่เมืองยอง เดิมมาใช้ เนื่องจากมีเจ้านายรวมถึงขุนนางชั้นผูใ้ หญ่ผนู ้ อ้ ยจากเมืองยองและหัวเมืองใกล้เคียงที่ข้ ึนกับ เมืองยองติดตามลงมาด้วย เช่น พญาเทพ แสนพิมพิสาร หมื่นธรรมสร ท้าวเพชร๑๘ ท้าวขว้าง(ต้น ตระกูล “นันทขว้าง”) จากเมืองยอง และเจ้าพญาเขื่อน จากเมืองหลวย๑๙ เป็ นต้น กระทัง่ แบบแผนคติ ความเชื่อต่างๆ ก็พยายามสถาปนาขึ้นเพื่อให้เหมือนหรื อคล้ายกับที่เมืองยองเดิม ตั้งแต่การตั้งชื่อเมืองว่า “เมืองยอง” สถาปนาบริ เวณหมู่บา้ นเวียงยองให้เป็ น “เวียงยอง” ที่ประทับของเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยอง และเจ้านายบุตรหลานและเป็ นศูนย์กลางการปกครองเมืองยอง มีการตั้งชื่ อหมู่บา้ นตามชื่อหมู่บา้ นเดิม เช่น บ้านตอง(แม่สาร) บ้านบัว บ้านบาน บ้านหลุก บ้านขัวแค่ และบ้านแซม เป็ นต้น
หอเทวบุตรหลวง วัดหัวข่ วงนางเหลียว (วัดหัวขัว) ตาบลเวียงยอง อาเภอเมืองลาพูน
หอผีเมืองยอง ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือ ของหมู่บ้านเวียงยอง ตาบลเวียงยอง
(ที่มา : ผูจ้ ดั การออนไลน์, ๒๕๕๔)
(ที่มา : คนยองย้ายแผ่นดิน)
มีการสร้าง “วัดหัวข่วง” หรื อ “วัดหัวข่วงนางเหลียว”(ภายหลังเรี ยก “วัดหัวขัว”) เป็ นวัด หลวงประจําเมืองยอง เพื่อให้เหมือนกับ “วัดหัวข่วงราชสัณฐาน” ในเมืองยองเดิมที่เป็ นวัดหลวง ประจําเมืองยองและเจ้านายเมืองยองเป็ นผูอ้ ุปถัมภ์ วัดหัวข่วงนางเหลียวจึงเป็ นวัดสําคัญดังเห็นได้จาก เจ้านายเชื้ อสายเมืองยองฝ่ ายชายจะต้องมาบรรพชาอุปสมบทในวัดนี้ ๒๐ รวมถึงเมื่อเจ้านายเชื้อสายเมือง
๑๘
ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกฐานพระเจ้ าไม้ วดั บ้ านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๓๖๒, พ.ศ.๒๓๖๓ และพ.ศ. ๒๓๗๘ สํารวจเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ๑๙ ๒๐
สุพตั รา จอมมาวรรณ, ประวัติหมู่บ้านวังไฮ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗), หน้า ๒. แสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(กรุ งเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๔), หน้า ๑๒๐.
๘
ยองถึงแก่อนิจกรรมก็จะนําพระอัฐิมาก่อกู่ไว้ที่วดั หัวข่วงนางเหลียวนี้ดว้ ย๒๑ หรื อมีการสร้างหอเทวบุตร หลวงทั้ง ๔ ตนผูร้ ักษาพระธาตุหลวงจอมยอง คือ สุ ขณะ ปิ ทิยะ ลักษณา และเทวดา๒๒ มาไว้ที่วดั หัวข่วงนางเหลียวให้เหมือนกับที่พระธาตุหลวงจอมยอง ขณะเดียวกันก็ได้นาํ เอาความเชื่อเรื่ องเลี้ยงผี เมือง หรื อ “กําเมือง” ของเมืองยองเดิมเข้ามาอีกด้วย ดังมีหอผีเมืองยอง(ผีอารักษ์เมืองยอง)ตั้งอยูด่ า้ น ทิศเหนื อของหมู่บา้ นเวียงยอง ในอดีตเมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการเก็บเงินจากหมู่บา้ นชาวยอง ทุกหลังคาเรื อนเพื่อซื้ อควายดํามาฆ่าเลี้ยงผีเมืองยอง จะมีชาวยองโดยเฉพาะจากบริ เวณฝั่งตะวันออก แม่น้ าํ กวง คือ ตําบลเวียงยอง ตําบลป่ าสัก ตําบลศรี บวั บาน ตําบลมะเขือแจ้ และตําบ้านกลาง เป็ น กลุ่มหลักมาเข้าร่ วมพิธีเลี้ยงผีเมืองจํานวนมาก ซึ่งพิธีเลี้ยงผีเมืองยองนี้ เพิ่งได้มีการยกเลิกปฏิบตั ิไปเมื่อ ประมาณทศวรรษ ๒๕๑๐๒๓ จึงกล่าวได้วา่ มีการสถาปนาเมืองยองขึ้นในปริ มณฑลเมืองนครลําพูนได้ อย่างสมบูรณ์ คือ มีครบองค์ประกอบที่สาํ คัญของความเป็ นเมืองในยุคจารี ตทั้ง “เจ้า” “พุทธ” และ “ผี” ความเป็ นเมืองยอง ในฐานะหัวเมืองขึ้นของเมืองนครลําพูน สันนิษฐานว่าภายหลังพ.ศ.๒๔๐๐ ได้ค่อยสลายตัวลง เนื่องจากหัวเมืองขึ้นที่ต้ งั อยูใ่ กล้ตวั เวียงลําพูนจํานวนหลายเมืองภายหลังถูกยุบผนวก ให้เป็ นส่ วนหนึ่งที่อยูภ่ ายใต้การปกครองของเจ้าผูค้ รองนครลําพูนโดยตรง มีจาํ นวน ๓ หัวเมือง ได้แก่ เมืองยอง เมืองป่ าซาง และเมืองหนองล่อง เจ้าเมืองและญาติวงศ์ที่ปกครองหัวเมืองเหล่านี้รวมถึงเจ้าฟ้ า หลวงเมืองยองก็ค่อยหมดอํานาจลงตามไปด้วย และเป็ นไปได้วา่ ความเป็ นเมืองยองในเมืองนครลําพูน อาจถูกยุบลงไปพร้อมกับเมื่อเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองสิ้ นพระชนม์ ส่ วนหัวเมืองขึ้นอื่นๆ ของเมืองนคร ลําพูนที่ต้ งั อยูห่ ่างไกลออกไปมาก เจ้าผูค้ รองนครลําพูนก็ทรงโปรดให้ยงั คงสถานะความเป็ นเมืองสื บมา จนถึงยุคปฏิรูปการปกครองของสยามในพ.ศ.๒๔๔๒ มีจาํ นวน ๓ หัวเมือง ได้แก่ เมืองพาน (บริ เวณ อําเภอพาน จังหวัดเชียงรายในปัจจุบนั มีพญาไชยชนะสงคราม(เจ้าหนานอิ่นคํา เชื้อเมืองพาน) เป็ นเจ้า เมืองพานคนสุ ดท้าย) เมืองลี้ (พญาเขื่อนแก้ว ต้นตระกูล “อินต๊ะขัด” เป็ นเจ้าเมืองลี้คนสุ ดท้าย) และ เมืองปวง (บริ เวณตําบลบ้านปวง อําเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลําพูนในปั จจุบนั )๒๔
๒๑
วัดหัวข่วงนางเหลียวที่สร้างตั้งแต่ต้ งั เมืองยองในพ.ศ.๒๓๔๘ ได้ถูกนํ้ากวงเซาะตลิ่งพัง เจ้านางยิม้ (ชายาเจ้าน้อยเลาว้อง ลูกสะใภ้เจ้า ไชยลังกาพิศาลโสภาคยคุณ เจ้าผูค้ รองนครลําพูนองค์ที่ ๖ กับเจ้านางคําเฝื อ ราชธิดาเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยอง) กับเจ้านางฟองคํา ณ ลําพูน (ธิดาเจ้าเลาว้องกับเจ้านางยิม้ ) ชายาเจ้าราชบุตร(เจ้าน้อยดาวแก้ว ณ ลําพูน) ได้เป็ นศรัทธาหลักในการย้ายวัดหัวข่วงนางเหลียว(หัวขัว)มา สร้างในบริ เวณปัจจุบนั ๒๒
จารึ กชื่อหอเทวบุตรหลวงวัดหัวขัว ตําบลเวียงยอง อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน “ในตํานานเมืองยองระบุชื่อว่า สุรณะ มหิ นิยงั พิธิว ระ และละขณะ” ๒๓ ๒๔
แสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๒๗. หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๘๗ รายงานราชการเมืองนครลําพูน (๒๖ พ.ย. ร.ศ.๑๑๒ – ๒๓ มี.ค.๑๒๑)
๙
บทบาทและสถานภาพของเจ้ านายเมืองยองและชาวเมืองยองในเมืองนครลาพูน เมืองยองมีความสัมพันธ์กบั หัวเมืองในล้านนามาก่อนหน้าการกวาดต้อนชาวเมืองยองเข้ามาตั้ง บ้านเมืองอยูใ่ นเมืองนครลําพูนเมื่อพ.ศ.๒๓๔๘ ดังปรากฏหลักฐานว่าก่อนหน้านี้ ๑๕ ปี (พ.ศ.๒๓๓๓) ได้มีชาวเมืองยองหลบหนีภยั สงครามกับพม่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนครน่านถึง ๕๘๕ ครอบครัว โดยมีเจ้าพญาศรี เชื้ อสายเจ้านายเมืองยอง เป็ นผูป้ กครองชาวเมืองยองที่อพยพมาอาศัยในเมืองนคร น่าน๒๕ อีกทั้งพระธิดาองค์หนึ่ งของเจ้าพญาศรี คือ “เจ้านางศรี บุญนํา” ได้เสกสมรสเป็ นราชชายาองค์ หนึ่งของพระเจ้าหอคําดวงทิพย์ พระเจ้านครลําปางองค์ที่ ๕ (พ.ศ.๒๓๓๗ – ๒๓๖๘)๒๖ อันแสดงถึง ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างกัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางพระญาติวงศ์ระหว่างเจ้านาย ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนในเมืองนครลําปางกับเจ้านายเชื้ อสายเมืองยอง หรื อในพ.ศ.๒๓๔๘ เจ้าอุปราช(เจ้า น้อยธรรมลังกา) เมืองนครเชียงใหม่ได้ทรงเป็ นแม่ทพั ขึ้นไปตีเมืองยอง เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองก็ทรง ถวายเจ้านางหน่อแก้วเกี๋ยงคํา น้องสาวต่างมารดาของพระองค์ให้เป็ นราชชายา พร้อมกับถวายเครื่ อง ท้าว ๕ ประการ(เครื่ องราชเบญจกกุธภัณฑ์) และช้างพลายทรงเครื่ องพร้อมสัปคับใส่ เขนทองคํา๒๗ หรื อภายหลังจากมีการฟื้ นฟูเมือง นครลําพูนในพ.ศ.๒๓๔๘ ก็ปรากฏมี การเสกสมรสระหว่างเจ้านายราชวงศ์เจ้า เจ็ดตนในเมืองนครลําพูนกับเจ้านายเชื้อ สายเมืองยอง ดังเช่น เจ้านางคําเฝื อ ราช ธิ ดาของเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองกับเจ้านาง ห่อน ได้เป็ นราชชายาองค์หนึ่งของพระ เจ้าบุญมาเมือง พระเจ้านครลําพูนองค์ที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๕๘ – ๒๓๗๐) แต่ไม่มีราช บุตรราชธิดา เมื่อพระเจ้าบุญมาเมืองทรง ถึงแก่พิราลัยได้เป็ นราชชายาองค์หนึ่ง กลุ่มกู่อฐั ิ เจ้ านายเชื้อสายเจ้ าฟ้ าหลวงเมืองยอง ของเจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคยคุณ วัดหัวข่ วงนางเหลียว(วัดหัวขัว) อาเภอเมืองลาพูน (เจ้าหนานไชยลังกา ราชบุตรของเจ้า (ที่มา : คนยองย้ายแผ่นดิน) หลวงคําฝั้น) เจ้าผูค้ รองนครลําพูนองค์ที่ ๒๕
“ตํานานพระธาตุแช่แห้ง” ในสรัสวดี อ๋ องสกุล (ปริ วรรต), พืน้ เมืองน่ าน ฉบับวัดพระเกิด, (อ้างแล้ว),หน้า ๓๕.
๒๖
“ตํานานเจ้าเจ็ดพระองค์กบั หอคํามงคล ฉบับแสนปั ญญา” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพระครู เรื อน สุธมฺ โม เจ้าอาวาสวัด ป่ าตันกุมเมือง, (อ้างแล้ว), หน้า ๔๒. ๒๗
ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๓๙.
๑๐
๖ (พ.ศ.๒๓๘๖ – ๒๔๑๔)๒๘ มีราชบุตรราชธิดา ๓ องค์ คือ (๑) เจ้าน้อยเลาว้อง (๒) เจ้าน้อยมหายศ และ (๓) เจ้าหญิงคําสน๒๙ ตลอดจนถึงขุนนางและชาวเมืองก็มีการแต่งงานระหว่างกันเหมือนกลุ่ม เจ้านาย ดังเช่น แสนเขื่อนคําหลวงได้เป็ นทหารคนหนึ่งในกองทัพเมืองนครเชียงใหม่ที่ข้ ึนไปกวาด ต้อนชาวเมืองยอง ได้พบรักและแต่งงานกับ “นางอู”้ สาวชาวยองที่ตนได้กวาดต้อนนําเข้ามา ซึ่ง ภายหลังแสนเขื่อนคําหลวงได้เป็ นผูก้ ่อตั้งหมู่บา้ นหลุกที่เป็ นหมู่บา้ นชาวยองและได้เป็ นแก่บา้ น (ผูใ้ หญ่บา้ น)หลุกคนแรก๓๐ ด้วยมีการเสกสมรส ระหว่างกันของเจ้านายทั้ง ๒ กลุ่ม ประกอบกับเจ้า ฟ้ าหลวงเมืองยองก็มีสถานะเป็ นเจ้าเมืองที่ข้ ึนต่อเจ้าผู ้ ครองนครลําพูน และมีไพร่ พลอยูใ่ นความปกครอง ประมาณครึ่ งหนึ่งของเมืองนครลําพูน ดังนั้นใน ช่วงแรกเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองจึงได้รับการยอมรับจาก เจ้านายเมืองนครลําพูนให้เข้ามามีอาํ นาจบางประการ ในเค้าสนามหลวงเมืองนครลําพูน โดยเฉพาะการเข้า มามีส่วนร่ วมในการตัดสิ นคดีความหากเกิดข้อขัดแย้ง ของเชื้ อพระวงศ์ ทั้งทางฝ่ ายเจ้านายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน และทางฝ่ ายเจ้านายเมืองยองในเมืองนครลําพูน จากหลักฐานนี้กล่าวได้วา่ ตั้งแต่พ.ศ.๒๓๕๔ เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองได้รับการยอมรับให้เข้ามามี หอธรรม(หอไตร)วัดประตูป่า บทบาทเป็ นเจ้านายชั้นสู งของเมืองนครลําพูนที่ ชุ มชนชาวยองในอาเภอเมืองลาพูน รองลงมาจากเจ้าผูค้ รองนครและเจ้าอุปราช (ที่มา : วัดประตูป่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน) สันนิษฐานว่านอกจากความสัมพันธ์ทางเครื อญาติ และเพื่อเอาใจเจ้านายเมืองยองที่เพิ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่น ฐานใหม่ในเมืองนครลําพูน อาจด้วยในระยะแรกนี้เจ้านายชั้นสู ง(เจ้าขันทั้ง ๕)ของเมือนครลําพูนยังมี เพียงแค่ ๒ ตําแหน่ง เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองจึงได้รับการยอมรับให้มีอาํ นาจรองลงมาในลําดับที่ ๓ สันนิษฐานว่าภายหลังพ.ศ.๒๓๖๙ เมื่อเมืองนครลําพูนได้รับการแต่งตั้งให้มีเจ้านายชั้นสู งครบทั้ง ๕ ตําแหน่ง คือ เจ้าผูค้ รองนคร(พระเจ้าบุญมาเมือง) เจ้าอุปราช(เจ้าน้อยอินทร์ ราชบุตรเจ้าหลวงคําสม) เจ้าราชวงศ์(เจ้าหนานมหายศ ราชบุตรเจ้านางศรี บุญทัน) เจ้าบุรีรัตน์(เจ้ารัตนหัวเมืองแก้ว, เจ้าน้อย ๒๘
“บันทึกของเจ้าคําใต้ ธิ ดาของเจ้าหญิงเกี๋ยงหอม หลานเจ้าน้อยมหายศ และเหลนเจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคยคุณ เจ้าผูค้ รองนคร
ลําพูนองค์ที่ ๖ กับเจ้านางคําเฝื อ ราชธิ ดาเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยอง” อ้างในอุณณ์ ชุติมา, พิธีบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพชนจากสิบสองพัน นา(ผีปู่ย่ า),(เชี ยงใหม่ : ลานนาการพิมพ์, ๒๕๓๐), หน้า ๑๐. ๒๙ ๓๐
ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง, เพ็ชรล้านนา(๒), พิมพ์ครั้งที่ ๒,(เชี ยงใหม่ : นอร์ทเทิร์น พริ้ นติ้ง, ๒๕๓๘), หน้า ๑๗. มัลลิกา จี๋แก้ว และคณะ, ประวัติหมู่บ้านหลุก ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗).
๑๑
ธรรมลังกา ราชบุตรพระเจ้าบุญมาเมือง) และเจ้าราชบุตร(เจ้าน้อยคําตัน ราชบุตรพระเจ้าบุญมาเมือง)๓๑ สังเกตว่าผูด้ าํ รงตําแหน่งเจ้าขันทั้ง ๕ ซึ่ งเป็ นเจ้านายชั้นสู งของเมืองนครลําพูน ล้วนเป็ นเจ้านายใน ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนที่มาจากเมืองนครลําปางและมาจากภายในเมืองนครลําพูน และในปี เดียวกันนี้(พ.ศ.๒๓๖๙)เจ้าหลวงศรี บุญมาก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็ น “พระเจ้ ามหาหริ ภุญไชยอภัยราชสุ ริยศักดิ์ เอกอัคอธิ บดีศรี ภิรมย์ ราไชยสวรรค์ เจ้ าเขื่อนขัณฑ์ คามเขตประเทศราชธานี ศรี มหาสถาน” พระเจ้าเมืองนครลําพูน๓๒ ที่มีอาํ นาจราชอาชญาดูแลว่ากล่าวถึงเมืองนครเชียงใหม่และ เมืองนครลําปาง เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองและเจ้านายเชื้ อสายเมืองยองจึงค่อยถูกลดบทบาทลง พร้อมกับ สถานะความเป็ นเมืองของเมืองยองก็น่าจะถูกลดบทบาทลงตามไปด้วย อาจลดลงไปเป็ นแคว้น (ประมาณเทียบเท่าตําบลขนาดใหญ่)หนึ่งของเมืองนครลําพูน เจ้านายเชื้อสายเมืองยองจึงถูกลดบทบาท ลงเพียงให้ทาํ หน้าที่คอยออกไปจัดเก็บข้าวจากไพร่ และทาสที่ทาํ นาเข้ามาส่ งให้เจ้าผูค้ รองนครในเวียง ลําพูน ดังบันทึกของร้อยเอกดับเบิ้นยู ซี แมคเคล้า(W.C.Mcleod) กล่าวว่าในพ.ศ.๒๓๘๐ มีราชบุตร องค์หนึ่งของเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองได้ทาํ หน้าที่จดั เก็บข้าวเปลือกของชาวนาในที่นาของเจ้าหลวงบริ เวณ ป่ าซางเพื่อถวายเจ้าผูค้ รองนครลําพูน และด้วยถูกลดบทบาทลงไปมากเจ้านายเชื้อสายเมืองยองบางองค์ จึงเกิดความไม่พอใจและมีความคิดจะกลับไปอยูเ่ มืองยองดังเดิม๓๓ แต่ทว่าเชื้ อสายเจ้านายชั้นสู งของ เมืองยองบางองค์ก็ยงั มีบทบาทร่ วมกับเจ้านายเมืองนครลําพูนอยูบ่ า้ ง ดังเช่นในปี พ.ศ.๒๓๙๘ เจ้านาย เมืองนครเชียงใหม่และเมืองนครลําพูนเสด็จลงไปเฝ้ าถวายสิ่ งของให้กษัตริ ยส์ ยามที่กรุ งเทพมหานคร ปรากฏมีเจ้าหนานปั ญโญ ราชบุตรเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยอง ได้ร่วมเสด็จลงไปพร้อมกับเจ้านายและขุนนาง เมืองนครลําพูน๓๔ หรื อเชื้ อสายเจ้านายเมืองยองรุ่ นหลังลงมาบางคน ก็จะได้รับประทานยศศักดิ์ตาม แบบขุนนางล้านนาจากเจ้าผูค้ รองนครลําพูนให้ดูแลปกครองพื้นที่ขนาดตําบลหรื อหมู่บา้ นของชาวยอง เช่น เจ้าพญาเมืองมูล มีภรรยาชื่อ “เจ้านางริ กา” ปกครองแคว้นสะปุ๋ งป่ าซาง๓๕ เป็ นต้น เจ้านายเชื้ อสายเมืองยอง รวมถึงเจ้านายเชื้อสายเมืองยูแ้ ละเมืองหลวย ที่อยูฝ่ ั่งตะวันออก แม่น้ าํ กวง สันนิษฐานว่าจะมีพนั ธะส่ งส่ วยให้กบั เจ้าผูค้ รองนครลําพูน ซึ่ งอาจเป็ นส่ วยข้าวเปลือกที่ชาว ยองขยายตัวออกไปเพาะปลูกกับส่ งส่ วยผ้าทอให้กบั เจ้าผูค้ รองนครลําพูน ดังมีบนั ทึกว่าชุมชนเหล่านี้ทาํ หน้าที่ทอผ้าให้เจ้าผูค้ รองนครลําพูน๓๖ และแต่ละหมู่บา้ นก็มีหน้าที่รับใช้เจ้านายต่างกันออกไปอีก เช่น ๓๑
“พงศาวดารเมืองนครเชี ยงใหม่ เมืองนครลําปาง เมืองลําพูนไชย” ในสํานักพิมพ์กา้ วหน้า, ประชุ มพงศาวดาร ฉบับหอสมุดแห่ งชาติ
เล่ม ๒ (ภาคที่ ๓, ๔ และ ๕), (อ้างแล้ว), หน้า ๖๖๑. ๓๒ ๓๓ ๓๔
หวญ.ร.๓ เลขที่ ๘ บัญชี รายชื่อเจ้าเมืองต่างๆ ที่เป็ นหัวเมืองขึ้น จ.ศ.๑๑๙๐ แสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๓๐. “บัญชีรายวันบอกเจ้าเมืองกรมการส่ งเครื่ องยศและสิ่ งของลงมาเฝ้ า จ.ศ.๑๒๑๗” อ้างในสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , จดหมายเหตุ
นครเชียงใหม่ ,(กรุ งเทพฯ : ดอกเบี้ย, ๒๕๔๒), หน้า ๒๔๔ – ๒๔๕. ๓๕ ๓๖
ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกท้ ายคัมภีร์มโหสถะ ผูกต้ น จารโดยเจ้าพญาเมืองมูลและเจ้านางริ กา วัดสะปุ๋ งหลวง อักษรธรรมล้านนา แสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๑๔.
๑๒
บ้านตอง(จากเมืองยอง)เป็ นช่างก่อสร้าง บ้านยู(้ จากเมืองยู)้ เป็ นกวี และบ้านหลวย(จากเมืองหลวย)เป็ น ช่างทอผ้า๓๗ ซึ่ งในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ยังมีช่างฝี มือทอผ้าโบราณที่มีชื่อเสี ยง เช่น แม่หลวง สังข์ นําเวียง บ้านแม่สารป่ าขาม ตําบลเวียงยอง เป็ นต้น๓๘ ขณะที่กลุ่มเจ้านายเมืองนครลําพูนก็ใช้ ความเชื่อและพิธีกรรมเป็ นอีกทางหนึ่งในการประสานความสัมพันธ์ พร้อมไปกับประกาศเน้นยํ้าความ เป็ นผูป้ กครองเหนือกว่ากลุ่มเจ้านายและชาวเมืองยอง ดังปรากฏในวันปากปี (ประมาณช่วงวันที่ ๑๖ เมษายน)เจ้าผูค้ รองนครลําพูนจะเสด็จมาเป็ นองค์ประธานขึ้นขันหลวงบูชาเทวบุตรหลวง ที่วดั หัวข่วง นางเหลียว(วัดหัวขัว) เมืองยอง(เวียงยอง)เป็ นประจําทุกปี ๓๙ แม้วา่ เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยองถูกลดบทบาทด้านการปกครองมาตั้งแต่หลังพ.ศ.๒๓๖๙ แต่บรรดา เชื้อสายญาติวงศ์เจ้านายเมืองยองยังคงได้รับการเคารพนับถือจากคนภายในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนที่ ชาวยองอาศัยอยู่ และยังได้รับการยกย่องความเป็ น “เจ้า” ควบคู่มากับเชื้ อสายเจ้านายเมืองนครลําพูน เจ้านายเชื้ อสายเมืองยองยุคหลัง(ประมาณช่วงทศวรรษ ๒๔๕๐ – ๒๕๐๐)ที่ได้รับการนับถือเรี ยกว่า “เจ้า” เช่น เจ้าหนานหมวก ทาแก้ว บ้านสะปุ๋ งหลวง(ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง)ซึ่ งสนิทชิดเชื้อไป มาหาสู่ กบั เจ้าหนานหมื่น วงศ์สาม(ตลาดป่ าซาง ตําบลป่ าซาง อําเภอป่ าซาง) เจ้าน้อยแสงคํา เจ้าน้อย สิ งฆะ วงศ์วรรณ และเจ้าน้อยผาคํา วงศ์วรรณ บ้านสะปุ๋ งน้อย เจ้าน้อยเมืองดี เจ้าแม่จนั ทร์ ฟอง ศีรษะเพียร บ้านป่ าตาล(อําเภอป่ าซาง) และมีการยกย่องเชื้อสายเจ้านายเมืองยองว่าเป็ น “เจ้า” มาจนถึง ช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ ที่ถือว่าเป็ นรุ่ นสุ ดท้าย เช่น เจ้าแม่แขกแก้ว ทาแก้ว(ธิ ดาพ่อเจ้าหนานหมวก ทา แก้ว) บ้านสะปุ๋ งหลวง ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ.๒๕๓๔ เป็ นต้น ตลอดจนที่อยูอ่ าศัยของเชื้อสายเจ้านาย เหล่านี้แม้รุ่นหลังชาวบ้านก็ยงั เรี ยกว่า “คุม้ ” เหมือนเรี ยกที่อาศัยของเจ้านายเมืองนครลําพูน เช่น คุม้ เจ้า น้อยสิ งฆะและคุม้ เจ้าน้อยผาคํา ที่ต้ งั อยูห่ น้าโรงเรี ยนบ้านสะปุ๋ ง เป็ นต้น๔๐ และเจ้านายเชื้อสายเมือง ยองหลังทศวรรษ ๒๔๘๐ ก็ยงั คงมีบทบาทภายในชุมชนของชาวยอง เช่น เจ้าน้อยสิ งห์ เป็ นแก่วดั สะปุ๋ งหลวง เจ้าหนานหมวก ทาแก้ว บ้านสะปุ๋ งหลวงเป็ นผูจ้ ารคัมภีร์ใบลานและเป็ นช่างฝี มือก่อสร้าง หรื อเจ้าหนานซุม บ้านถอง(ป่ าตาล)สร้างกุฏิถวายวัดสะปุ๋ งหลวงเมื่อพ.ศ.๒๔๙๘๔๑เป็ นต้น ส่ วนสถานะของผูค้ นที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองยอง รวมถึงเมืองยู้ เมืองหลวย และเมืองอื่น ๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองนครลําพูน จะมีสถานภาพเป็ น “ทาส” หรื อ “เชลยศึก” ที่เรี ยกว่า “ข้าปลาย หอกงาช้าง” ส่ วนบุตรหลานที่เกิดออกมาก็มีสถานภาพเป็ นทาสสื บไปเรี ยกว่า “ข้าหอคนโรง”(ออก ๓๗ ๓๘
ฟอลเกอร์ กราบ๊อฟสกี้, “เก็บผักใส่ซา้ เก็บข้าใส่เมือง” วารสารศิลปวัฒนธรรม,(มกราคม ๒๕๓๘),หน้า ๑๐๙. พระมหานิ เวศน์ กิตฺติเชฏฺโฐ และคณะ, รายงานการวิจัยโครงการพัฒนากระบวนการฟื้ นฟูทรัพยากรธรรมชาติลาน้าแม่ สารอย่างมี
ส่ วนร่ วม ตาบลศรีบัวบาน ตาบลป่ าสั ก ตาบลเวียงยอง อาเภอเมือง จังหวัดลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๕๒), หน้า ๕๒. ๓๙
พระครู สงั วรญาณประยุต, ประวัติวดั หัวขัว,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๒).
๔๐
สัมภาษณ์พอ่ หนานมนัส นันทชัยพงศ์(เหลนพ่อเจ้าหนานหมวก ทาแก้ว) อายุ ๖๓ ปี เลขที่ ๑๘๔ หมู่ ๘ บ้านสะปุ๋ งหลวง ตําบล ม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ๔๑
ภูเดช แสนสา(ปริ วรรต), จารึ กครู บาอิ่นคํา คัมภีโร วัดสะปุ๋ งหลวง อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๕๐๑ อักษรธรรมล้านนา
๑๓
เสี ยง “ข้าหอคนโฮง”) ตามจารี ตของการกวาดต้อนผูค้ นมาเป็ นทาสเชลยรู ปแบบนี้มีมาตั้งแต่ยคุ ราชวงศ์มงั ราย ดังปรากฏหลักฐานในพ.ศ.๒๐๐๕ พระเจ้าติโลกราช กษัตริ ยล์ า้ นนาองค์ที่ ๙ (พ.ศ. ๑๙๘๔ - ๒๐๓๐) ทรงกวาดต้อนชาวไทใหญ่จากรัฐฉานได้ ๑๑ หัวเมือง “...เจ้ าพระญาติโลกราชะหื ้อ เอาเยีย้ วมาเปนข้ อย(ข้ า หรื อ ทาส – ผู้เขียน)...หื ้อเอาเยีย้ วทังหลายฝูงได้ มาเปนข้ อยนั้นแจกไว้ ยงั พันนาทะ กาน พร่ องอยู่เก้ าช่ อง พร่ องอยู่เมืองพล้ าว พร่ องหื ้อเปนดาง...”๔๒ โดยข้าทาสภายในล้านนาและ เมืองนครลําพูนมี ๓ แบบ คือ (๑) ข้ากัลปนา ได้แก่ ข้าวัด ข้าพระธาตุ ข้าพระเจ้า และข้าผีอารักษ์ (๒) ข้าทาสสิ นไถ่ คือ ข้าทาสที่ปู่และบิดาของผูน้ ้ นั ซื้ อไว้(ข้าทาสสิ นไถ่ช้ นั เก่า) หรื อเจ้าของทาสผูน้ ้ นั ซื้ อทาสมาไว้(ข้าทาสสิ นไถ่ช้ นั ใหม่) (๓) ข้าทาสเชลย คือ เจ้านายขุนนางไปตีกวาดต้อนไพร่ พลมา แบ่งเป็ นบําเหน็จรางวัลแก่แม่ทพั นายกอง ข้าทาสในอดีตเจ้านายแต่ละองค์จึงมีอยูจ่ าํ นวนมากโดยเฉพาะ เจ้านายชั้นสู ง ดังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพพระเจ้าอินทวิชยานนท์(เจ้าอินทนท์) พระเจ้า นครเชียงใหม่ในพ.ศ.๒๔๔๑ เจ้าอุปราช(เจ้าน้อยสุ ริยวงศ์เมฆะ)เมืองนครเชียงใหม่ได้ทรงปล่อยทาส ของพระเจ้าอินทวิชยานนท์จาํ นวนถึง ๖๕ คนให้เป็ นไพร่ พลเมือง เพื่ออุทิศเป็ นพระราชกุศลถวายแด่ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระเจ้านครเชียงใหม่๔๓ ข้าทาสในเมืองนครลําพูนและเมืองนครเชียงใหม่มีการกําหนดช่วงอายุและราคาค่าตัวเท่ากัน ซึ่งทาสเชลยเมืองนครลําพูนมาจากหลายเมืองดังมีบนั ทึกไว้วา่ “...ทาสเชลยเป็ นคนซึ่ งแต่ ก่อนมา เจ้ านายแลกรมการเมืองลาพูนไปรบตี เมืองเชี ยงแสน เมืองยอง เมืองปั่ น เมืองปุ เมืองสาด เมืองต่ วน เมืองหาง ได้ คนเมืองยองมากกว่ าเมืองอื่ น ...”๔๔ โดยมีการกําหนดช่วงอายุของความเป็ นข้าทาสไว้วา่ อายุ ๑ ขวบถึงไม่เกิน ๕ ขวบค่าตัว ชาย ๖ แถบ(๑ แถบหรื อ ๑ รู ปีประมาณ ๗๘ - ๘๐ สตางค์) หญิง ๖ แถบ อายุ ๕ ขวบถึง ๖๐ ปี ชาย ๕๔ แถบ หญิง ๗๒ แถบ ถ้าอายุเกิน ๖๐ ปี จึงถือว่าหลุดพ้นจากการเป็ นข้าทาส๔๕ สถานภาพของ ชาวเมืองยองส่ วนใหญ่ที่เข้ามาอยูใ่ นเมืองนครลําพูนรุ่ นแรกจึงเป็ น “ข้าปลายหอกงาช้าง” ส่ วนบุตรธิ ดา ในรุ่ นที่ ๒ และรุ่ นต่อมาเป็ น “ข้าหอคนโรง” ซึ่งสถานภาพความเป็ น “ข้า” ก็มีมาตั้งแต่อยูเ่ มืองยองเดิม แล้ว เนื่ องจากชาวเมืองยองทั้งเมืองถูกกัลปนาให้เป็ น “ข้าพระธาตุ” ของพระธาตุหลวงจอมยอง ซึ่ง แบ่งเป็ นข้าพระธาตุช้ นั ในมี ๖ หมู่บา้ น ทําหน้าที่ทาํ ความสะอาด ดูแลทรัพย์สินของวัด และดูแลแขก ๔๒
ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๗๙.
๔๓
หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๒๗ เรื่ องจัดการปกครองเมืองนครเชี ยงใหม่ (๒ มิ.ย. ๑๑๙ – ๑๔ ต.ค.๑๒๖)
๔๔
หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๘๗ รายงานราชการเมืองนครลําพูน (๒๖ พ.ย. ร.ศ.๑๑๒ – ๒๓ มี.ค.๑๒๑)
๔๕
หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๘๗ รายงานราชการเมืองนครลําพูน (๒๖ พ.ย. ร.ศ.๑๑๒ – ๒๓ มี.ค.๑๒๑)
๑๔
บ้านแขกเมืองที่มาวัด ข้าพระธาตุช้ นั กลางมี ๔ หมูบ่ า้ น ทําหน้าที่ก่อสร้าง บูรณะซ่อมแซมศาสน สถานบนดอยพระธาตุจอมยอง และข้าพระธาตุช้ นั นอก คือชาวเมืองยองที่เหลือทั้งหมดจะทําหน้าที่ ปลูกข้าว แล้วแบ่งบางส่ วนถวายพระธาตุ เพื่อเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองที่มาไหว้พระธาตุจอมยอง๔๖ ชาวเมืองยองที่เข้ามาตั้งอยูใ่ นเมืองนครลําพูนช่วงแรก จะอยูภ่ ายใต้การปกครองดูแลของเจ้าฟ้ า หลวงเมืองยอง แต่เจ้าผูค้ รองนครและเจ้านายเมืองนครลําพูนสามารถเกณฑ์ได้ดว้ ยสถานภาพที่เป็ นข้า ทาสเชลย ดังนั้นจึงปรากฏมีการสนับสนุนให้ชาวยองซึ่ งเป็ นข้าทาสของเจ้านายเมืองนครลําพูนขยาย การตั้งถิ่นฐานออกไปให้กว้างขวางมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพื่อทําการเพาะปลูกข้าว พืชผลต่างๆ ไร่ ยาสู บ ดินไฟ ครั่ง รวมถึงของป่ า จัดส่ งเข้ามาถวายให้เจ้าผูค้ รองนครและเจ้านายภายในเวียงนครลําพูน และบางส่ วนก็นาํ ถวายให้กบั เจ้าฟ้ าหลวงและเจ้านายเมืองยอง ดังปรากฏชาวยองได้ขยายตัวจากบริ เวณ “เมืองยอง”(เวียงยอง) ออกไปตั้งชุมชนหมู่บา้ นในบริ เวณอําเภอป่ าซาง บางส่ วนของอําเภอเวียงหนอง ล่อง อําเภอบ้านโฮ่ง อําเภอลี้ อําเภอบ้านธิ และอําเภอแม่ทา ขณะเดียวกันชาวยองเหล่านี้บางส่ วนก็ทาํ หน้าเฝ้ าดูแลที่นาและทํานาให้กบั เจ้าผูค้ รองนครและเจ้านาย เช่น นาเจ้าหลวงลําพูนบริ เวณทาทุ่งหลวง และประตูป่า นาเจ้านายที่ป่าซาง เป็ นต้น โดยเจ้าผูค้ รองนครลําพูนก็จะจัดส่ งเจ้านายบุตรหลานเข้าไป ตั้งฉางหลวงจัดเก็บข้าวเปลือกในหมู่บา้ นชาวยองเป็ นแห่งๆ เพื่อส่ งเข้ามาถวายในเวียงลําพูน ดังเช่น เจ้าสันราชา ถูกส่ งมาจัดเก็บดูแลผลประโยชน์บริ เวณเวียงหนองล่อง ภายหลังได้เป็ นกํานันแคว้นเวียง หนองล่องคนแรก๔๗ เจ้าเจียง เจ้าวอน ถูกส่ งมาจัดเก็บข้าวเปลือกบริ เวณตําบลวังผาง อําเภอเวียงหนอง ล่อง๔๘ หรื อเจ้าน้อยแสน ธนัญชยานนท์ ถูกส่ งมาจัดเก็บข้าวเปลือกบริ เวณตําบลต้นธง อําเภอเมือง ลําพูน๔๙ เป็ นต้น และข้าทาสบางส่ วนก็ทาํ หน้าที่เป็ นคนเลี้ยงช้าง ม้า วัว ควาย และแพะให้กบั เจ้านาย ข้าทาสเชลยเหล่านี้สันนิษฐานว่ามีอิสระมากพอสมควร มีสถานภาพไม่ต่างจากไพร่ ทวั่ ไปมาก นักที่ตอ้ งขึ้นสังกัดเจ้านายเช่นกัน จะมีความจํากัดตรงที่ทาสเชลยเป็ นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของเจ้าของ ทาสและมีค่าตัว จะพ้นจากความเป็ นทาสได้ก็ตอ้ งหาเงินมาไถ่ตวั เจ้าของทาสปลดปล่อย อนุญาตให้ ออกบวช ได้เป็ นภรรยาเจ้านายขุนนางหรื อเจ้าของทาส ได้รับประทานยศศักดิ์จากเจ้าผูค้ รองนคร หรื อ อายุพน้ จาก ๖๐ ปี แต่ดว้ ยทาสเชลยมีจาํ นวนมาก เป็ นการยากที่เจ้านายหรื อขุนนางจะดูแลอุปการะ เลี้ยงดูได้ท้ งั หมด จึงต้องมีการปล่อยให้ทาสที่สังกัดออกไปขยายพื้นที่ทาํ กินอยูอ่ ย่างอิสระพอสมควร จึงได้เกิดการตั้งขึ้นเป็ นหมู่บา้ นต่างๆ เพื่อจัดเก็บผลประโยชน์ส่งเข้ามาให้แก่เจ้านายหรื อขุนนางที่สังกัด ๔๖
มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่และพิพิธภัณฑสถานแห่ งชาติหริ ภุญไชย, สื บสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชาวยอง รากเหง้า ความเคลือ่ นไหว
และความเปลีย่ นแปลง,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๙), หน้า ๔๘. ๔๗
นงค์นุช จันทะวัน, ประวัติหมู่บ้านเวียงหนองล่อง,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗), หน้า ๒.
๔๘
สัมภาษณ์พอ่ อุย๊ ตัน อินต๊ะปาน อายุ ๘๔ ปี (เจ้าของที่ต้ งั ฉางข้าวที่จดั เก็บส่ งเจ้าหลวงลําพูน) เลขที่ ๔๐ หมู่ที่ ๔ บ้านวังผาง ตําบลวัง ผาง อําเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔. ๔๙
กําธร ธิ ฉลาด และคณะ, รายงานวิจัยพหุภาคีกบั การมีส่วนร่ วมของท้ องถิ่นในการศึกษาศิลปวัฒนธรรม ศึกษากรณีล่ มุ นา้ กวงตอน
ปลายเขตตาบลต้ นธงและตาบลเวียงยอง อาเภอเมืองลาพูน จังหวัดลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๖), หน้า ๓๐.
๑๕
ตามมา ภายหลังจากมีพระราชบัญญัติเลิกทาสในล้านนาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๔๓ เป็ นต้นมา ทาสเหล่านี้จึงได้ ค่อยหมดไปกลายสถานภาพเป็ น “ราษฎรไทย” แต่ทว่าลูกหลานข้าทาสและข้าเก่าบางคนก็ยงั ผูกพันกับ เจ้านายเดิม อย่างกรณี ขา้ ทาสและข้าเก่าของเจ้าน้อยเมืองทูล(ไข่) ลังการ์ พินธุ์(พ.ศ.๒๔๕๐ – ๒๕๒๘) ช่วงหลังพ.ศ.๒๕๐๐ ยังช่วยทํานาให้ที่บา้ นไร่ ดง อําเภอป่ าซาง โดยเจ้านายก็จะมีการเลี้ยงข้าวหรื อ บางครั้งก็ให้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็ นการตอบแทน๕๐ ชาวเมืองยองด้วยถูกกวาดต้อนลงมาทั้งระบบและกลุ่มใหญ่ จึงคงมีสาํ นึกความเป็ นคนเมืองยอง สู ง ดังปรากฏในจารึ กวัดฉางข้าวน้อยเหนือ พ.ศ.๒๓๗๒ ว่า “...ผู้ข้าทังหลายทัง ๒ คณะอันเปนรั ฐประชาในเมืองมหิ ยงั ครั ฐปุรีทังมวล ย้ อน แต่ อิทธานุภาวะกระสัตราเมืองไท(พระเจ้ ากาวิละ)ใสส่ องลงมาปฏิ สัณฐานตั้งอยู่ในคามสัณฐาน บ้ านสันเข้ าน้ อยที่นี้ อันแฅว้ นเมืองหริ ปุญไชยที่นี.้ ..”๕๑ ดังนั้นด้วยการเป็ นคนกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาอยูเ่ มืองนครลําพูน จึงบ่งบอกว่าตนเองเป็ นคนมาจาก เมืองยอง ที่เรี ยกว่า “ไทเมืองยอง” หรื อเรี ยกสั้นๆ ว่า “ไทยอง” กรณี น้ ีสามารถพบได้เป็ นปกติวา่ ผูค้ น นิยมบ่งบอกว่าตนเองเป็ นคนเมืองไหน เช่น ชาวไทเขิน ไทใหญ่ และไทลื้อ จากเมืองนครเชียงตุงที่ เข้ามาอยูเ่ มืองลอง(เมืองขึ้นเมืองนครลําปาง)ก็เรี ยกตนเองว่า “...ชาวไทเชี ยงตุง...”๕๒ ที่หมายถึงเป็ นคน ไท(ออกเสี ยง “ไต”)บ่งบอกว่ามาจากเมืองนครเชียงตุง กรณี เดียวกันกับคนไทจากเมืองยองที่เข้ามาตั้ง ถิ่นฐานในเมืองนครลําพูนก็เรี ยกตัวเองว่า “ไทยอง” คือเป็ นคนไทที่มาจากเมืองยอง ดังนั้นการเรี ยก ตนเองว่าเป็ นคน “ไทยอง” ในความหมายดั้งเดิมก็คือเป็ นคน “ไท” ที่อาศัยอยูเ่ มืองยอง ที่นอกจากมีไท ลื้อเป็ นคนกลุ่มใหญ่ ยังรวมถึงไทเขิน ไทใหญ่ และไทเหนื อ เป็ นต้น ดังนั้นคําว่า “ไทยอง” หรื อ “ชาวยอง” จึงมีความหมายกว้างกว่าชาติพนั ธุ์ที่เป็ น “ไทลื้อ”(ชาวลื้อ)เมืองยอง เหมือนกับ “ไทลําพูน” (ชาวลําพูน) หรื อ “ไทเชี ยงใหม่”(ชาวเชียงใหม่) ที่หมายรวมถึงกลุ่มไททั้งหมดที่อาศัยในเมืองนคร ลําพูนหรื อเมืองนครเชียงใหม่ ทั้งไทยวน ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทเขิน และไทอื่นๆ ซึ่งกรณี น้ ีในสิ บสอง พันนาและรัฐฉาน ก็ยงั ปรากฏนิยมบ่งบอกว่าเป็ น “ไท” (“ไท” หมายถึง “คน”)เมืองไหน เช่น ชาวเมือง เชียงขางเมืองบริ วารขนาดเล็กของเมืองยองในสมัยเจ้าอุ่น เป็ นเจ้าเมืองเชียงขาง(ช่วงพ.ศ.๒๕๑๔) มี เพียง ๒ หมู่บา้ น(บ้านเชียงขางและบ้านหัวนา)ก็เรี ยกตนเองว่าเป็ น “ไทเชียงขาง”(บางครั้งก็เรี ยก “ไท
๕๐
สัมภาษณ์เจ้ากรองแก้ว ลังการ์พินธุ์(ธิ ดาเจ้าน้อยเมืองทูล(ไข่) ลังการ์ พินธุ์) อายุ ๖๗ ปี บ้านแซม ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕. ๕๑ ๕๒
ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกแผ่นไม้ วดั ฉางข้ าวน้ อยเหนือ อาเภอป่ าซาง จังหวัดลาพูน พ.ศ.๒๓๗๒, อักษรธรรมล้านนา. ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึกแผ่นหินชนวนครูบานันตา วัดพระธาตุขวยปู เมืองลอง พ.ศ.๒๔๔๖, อักษรธรรมล้านนา.
๑๖
เวียง”) ชาวเมืองวะก็เรี ยกว่า “ไทวะ”(ไทเมืองวะ)๕๓ ชาวเมืองฮําก็เรี ยกว่า “ไทฮํา” ชาวเมืองฮายก็ เรี ยกว่า “ไทฮาย” หรื อชาวเมืองฮุนก็เรี ยกว่า “ไทฮุน”๕๔ เป็ นต้น การขยายตัวของชาวยองในเมืองนครลาพูนและเมืองนครเชียงใหม่ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยองในเมืองนครลําพูนครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๓๔๘ จะอยูบ่ ริ เวณเมือง ยอง(เวียงยอง)ฝั่งตะวันออกของแม่น้ าํ กวงเป็ นหลัก ภายหลังจึงได้กระจายเข้าไปตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่หรื อ อยูร่ ่ วมกับคนในชุมชนดั้งเดิมเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกในบริ เวณอําเภอป่ าซาง บางส่ วนของอําเภอบ้าน โฮ่ง อําเภอเวียงหนองล่อง อําเภอทุ่งหัวช้าง อําเภอบ้านธิ และอําเภอแม่ทา จังหวัดลําพูน ซึ่งบริ เวณ เหล่านี้บางชุมชนเป็ นหมู่บา้ นที่มีการตั้งถิ่นฐานสื บเนื่ องมาแต่เดิมไม่ได้ร้างไปพร้อมกับชุมชนภายใน เวียงลําพูน เช่น บ้านสบทา บ้านอินทขีล บ้านป่ าซาง บ้านสะปุ๋ ง(บ้านสะปุ๋ งหลวง บ้านสะปุ๋ งน้อย) บ้านถอง(ป่ าตาล) บ้านหวาย บ้านพระนอน(อําเภอป่ าซาง) และบ้านโฮ่ง(อําเภอบ้านโฮ่ง) โดยเฉพาะ บ้านสะปุ๋ งน้อยปรากฏมีวดั ร้างชื่อ “วัดเชียงราย” ตั้งอยู(่ ปั จจุบนั เป็ นที่ต้ งั โรงเรี ยนบ้านสะปุ๋ ง)เป็ นไปได้ ว่ามีคนจากเมืองเชียงรายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริ เวณนี้อยูก่ ่อนแล้ว๕๕ ตัวอย่างการขยายตัวของหมู่บา้ นชาวยอง ได้แก่ หมู่บา้ นวังไฮ ตําบลเวียงยอง อําเภอเมือง เริ่ ม ตั้งหมู่บา้ นในพ.ศ.๒๓๙๕ มี ๙ ครอบครัวที่อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามา มีเจ้าพญาเขื่อน บ้านหลวย และ อีก ๘ ครอบครัวมาจากบ้านประตูล้ ี บ้านศรี เมืองยู(้ อําเภอเมืองลําพูน) บ้านริ มปิ งแม่ข่อง(ตําบลแม่ก๊ะ อําเภอสันป่ าตอง) บ้านนํ้าพุ(ตําบลป่ าสัก อําเภอเมืองลําพูน) บ้านสบปะริ มปิ ง บ้านสันต้นธง(ตําบลต้น ธง อําเภอลําพูน)๕๖ บ้านป่ าป๋ วย ตําบลบ้านโฮ่ง อําเภอบ้านโฮ่ง ช่วงประมาณก่อนปี พ.ศ.๒๔๔๕ มี การอพยพมาของชาวยองจากบ้านสันกําแพง บ้านฉางข้าวน้อย บ้านดอน(อําเภอป่ าซาง) ๒ – ๓ ครอบครัวมาก่อตั้ง๕๗ บ้านดอนตอง ตําบลแม่แรง อําเภอป่ าซาง อพยพจากบ้านตอง บ้านเวียงยอง ตําบลเวียงยอง อําเภอเมือง ประมาณ ๑๐ ครอบครัว บ้านม่วงโตน ตําบลเหล่ายาว อําเภอบ้านโฮ่ง ชาวยองอพยพมาบุกเบิกที่ทาํ กินจากบ้านมะกอก บ้านหวาย อําเภอป่ าซาง๕๘ เป็ นต้น ส่ วนในเขตอําเภอ ๕๓
สัมภาษณ์แม่เฒ่าแสงแก้ว วงค์ราษฎร์ อายุ ๗๑ ปี (เป็ นชาวเมืองเชี ยงขางที่อพยพมาอยูใ่ นประเทศไทยเมื่อพ.ศ.๒๕๑๔) บ้านเลขที่ ๑๔๙ หมู่ ๑๕ บ้านหนอง ตําบลฝายแก้ว อําเภอเชี ยงคํา จังหวัดพะเยา วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ๕๔
สัมภาษณ์พอ่ เฒ่าใหม่อุ่น วงค์ราษฎร์ อายุ ๙๓ ปี (เป็ นชาวเมืองฮํา สิ บสองพันนา ที่อพยพมาอยูใ่ นประเทศไทยเมื่อพ.ศ.๒๔๘๙) บ้านเลขที่ ๑๔๙ หมู่ ๑๕ บ้านหนอง ตําบลฝายแก้ว อําเภอเชี ยงคํา จังหวัดพะเยา วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ๕๕
สัมภาษณ์พระครู วิมลธรรมจารี (มานิตย์ ธมฺ มจารี ) อายุ ๖๑ ปี เจ้าคณะตําบลม่วงน้อยและเจ้าอาวาสวัดสะปุ๋ งหลวง บ้านสะปุ๋ งหลวง ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ๕๖ ๕๗ ๕๘
สุพตั รา จอมมาวรรณ, ประวัติหมู่บ้านวังไฮ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลาพูน,(อ้างแล้ว), หน้า ๒. อภิชาติ ยะมา และคณะ, ประวัติหมู่บ้านป่ าป๋ วย อาเภอบ้ านโฮ่ ง จังหวัดลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖), หน้า ๓. จันทร์ฉาย ไชยมาลา, ประวัติหมู่บ้านม่ วงโตน ตาบลเหล่ ายาว อาเภอบ้ านโฮ่ ง จังหวัดลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗), หน้า ๒.
๑๗
บ้านธิ และอําเภอแม่ทาบางส่ วนมีสาํ เนียงการพูดต่างจากชาวเมืองยอง สันนิษฐานว่าเป็ นไทลื้อ ไทใหญ่ ไทเขิน หรื อเป็ นชาวเมืองอื่นๆ ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาจากเมืองเชียงแสน(ไทยวน ไทลื้อ) เมืองปั่ น เมืองปุ เมืองสาด เมืองต่วน และเมืองหาง๕๙ ขณะเดียวกันก็มีชาวยองบางส่ วนขยายตัวออกไปตั้งถิ่นฐานในเขต อําเภอแม่วางและอําเภอสันป่ าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เช่น บ้านแม่ก๊า บ้านป่ ากล้วย บ้านสันคอกช้าง บ้านทรายมูล และบ้านโรงวัว ตําบลแม่ก๊ะ บ้านท่ากาน(บ้านหนองข่อย) บ้านใหม่สามหลัง ตําบลบ้าน กลาง อําเภอสันป่ าตอง๖๐ บ้านท่าศาลา บ้านป่ ากล้วย และบ้านห้วยแก้ว อําเภอแม่วาง๖๑ เป็ นต้น การบุกเบิกขยายหมู่บา้ นจากบริ เวณเวียงยองออกไปสู่ พ้นื ที่รอบนอกออกไป จะนําโดยเจ้านาย ขุนนางหรื อหัวหน้าชุมชนชาวเมืองยอง และผูน้ าํ เหล่านี้อาจมียศตําแหน่งดั้งเดิมมาจากเมืองยองหรื อ หากไม่มีก็จะได้รับประทานการแต่งตั้งยศศักดิ์จากเจ้าผูค้ รองนครลําพูน ให้ทาํ หน้าที่ปกครองพื้นที่เป็ น พ่อแคว่น(กํานัน)และแก่บา้ น(ผูใ้ หญ่บา้ น) ดังเช่น เจ้าหนานมโน พญาทิพย์ และแสนมหายศ บ้าน กองงามเป็ นผูน้ าํ ชาวบ้านสร้างวัดกองงาม(ป่ าเหียง)จากวัดร้าง หรื อ แสนแรง(ออกเสี ยง “แสนแฮง”) พ่อแคว่นแม่แรง หมื่นคํา นําชาวบ้านสร้างวัดแม่แรง หมื่นศิริ ท้าวคําแก่น หมื่นสุ เทพ หมื่นหลวง หาญ และเจ้าวงศ์หวั สิ บ เป็ นผูน้ าํ ชาวบ้านสร้างวิหารและอุโบสถของวัดฉางข้าวน้อยเหนือในปี พ.ศ. ๒๓๗๒ ผูน้ าํ ชุมชนเหล่านี้ก็จะได้รับการยกย่องเคารพนับถือจากชาวบ้านเป็ นอย่างมาก ดังเช่น พญาคํา (ต้นตระกูล “จันทร์ชมภู”) ผูใ้ หญ่บา้ นกองงาม(ตําบลแม่แรง อําเภอป่ าซาง) มีภรรยาชื่อ แม่นาง ชาวบ้านเรี ยกว่า “แม่นางพญา” เพราะยกย่องเป็ นภรรยาของ “พญาแก่บา้ นกองงาม” เมื่อชาวบ้านเข้า ป่ าล่าสัตว์ก็เอามาแบ่งมอบให้พญาคําก่อนเพราะถือว่าเป็ นของ “ไถ่พญา”๖๒ กํานันและแก่บา้ นเชื้อสาย ยองเหล่านี้ ภายหลังยุคปฏิรูปการปกครองก็ยงั ได้รับยศศักดิ์จากทางสยาม เช่น ขุนขยันขามเขต กํานัน ตําบลเหมืองง่า(อําเภอเมืองลําพูน)๖๓ ขุนบ่องอุทยานุกุล(พญาอุด) กํานันตําบลปากบ่อง(อําเภอป่ าซาง) ขุนประทาน(ต้นตระกูล “วรรณภิระ”) กํานันตําบลเหล่ายาว(อําเภอบ้านโฮ่ง) หมื่นอุตสาห์ทรี เขต (หนานใจ๋ ใจปัญญา) ผูใ้ หญ่บา้ นล้อง(ตําบลป่ าซาง อําเภอป่ าซาง)ช่วงพ.ศ.๒๔๘๐๖๔ และหมื่นผาดโจร สยอง(นุ อินกองงาม) ผูใ้ หญ่บา้ นเหล่าดู่(ตําบลหนองยวง อําเภอป่ าซาง)๖๕ เป็ นต้น ๕๙
หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๘๗ รายงานราชการเมืองนครลําพูน (๒๖ พ.ย. ร.ศ.๑๑๒ – ๒๓ มี.ค.๑๒๑)
๖๐
สัมภาษณ์แม่อุ๊ยทูน แสนบุญ อายุ ๙๓ ปี บ้านหนองข่อย(บ้านท่ากาน) ตําบลบ้านกลาง อําเภอสันป่ าตอง จังหวัดเชี ยงใหม่ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ๖๑
ยุพิน เข็มมุกด์, ความเชื่อ พิธีกรรม สายใยในวิถีล้านนา,(เชียงใหม่ : แสงศิลป์ , ๒๕๕๔), หน้า ๒๓.
๖๒
สัมภาษณ์นายกรกช แสนเขื่อน(ฟังมาจากแม่หลวงเอ้ย จันทร์ชมภู หลานพญาคํา) อายุ ๒๐ ปี เลขที่ ๑๖/๑ หมู่ ๑ บ้านกองงาม ตําบลแม่แรง อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ๖๓ ๖๔
ภูเดช แสนสา(อ่าน), จารึ กฐานพระพุทธรู ปวัดบ้านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๔๗๘, อักษรธรรมล้านนา. บุญส่ง อินทะพงศ์ และคณะ,รายงานการวิจัยโครงการฮีตฮอยคนยองกับกระบวนการแก้ ไขปัญหาแบบมีส่วนร่ วมของชุ มชนบ้ านล้ อง
ตาบลป่ าซาง อาเภอป่ าซาง จังหวัดลาพูน,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๙), หน้า ๘. ๖๕
วิลกั ษณ์ ศรี ป่าซาง, คนยองบ้ านเหล่ าดู่ : ประวัติชีวติ ความเป็ นอยู่ ความเชื่อ และเอกลักษณ์ , (เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖), หน้า ๑๓.
๑๘
นอกจากมีการขยายตัวของหมู่บา้ นบริ เวณภายในเมืองนครลําพูน เจ้าผูค้ รองนครลําพูนยัง โปรดให้มีการขยายตัวออกไปตั้งหัวเมืองที่อยูห่ ่างไกลออกไป ดังในพ.ศ.๒๓๘๓ เจ้าหลวงคําตัน เจ้าผู้ ครองนครลําพูนองค์ที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๘๑ – ๒๓๘๔) ได้ทรงโปรดให้หนานจันดาโจน นายแก้ว นาย หนวด และนายพุธ เป็ นผูน้ าํ ชาวยองพระภิกษุสามเณรจากเวียงยอง เมืองนครลําพูน ออกไปตั้งเมือง พานให้เป็ นหัวเมืองขึ้นกับเมืองนครลําพูน และได้ทรงโปรดให้ “หนานจันดาโจน” ผูเ้ ป็ นหัวหน้ากลุ่ม ขึ้นเป็ น “พญาหาญ” เจ้าเมืองพานคนแรก(พ.ศ.๒๓๘๓ - ๒๔๑๘) ซึ่งเป็ นต้นตระกูล “เชื้อเมืองพาน”๖๖ ซึ่ งเมืองพานเป็ นแหล่งเพราะปลูกข้าวได้ผลดี มีของป่ าอุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะช้างป่ าและป่ าผึ้ง(สี ผ้ งึ ) มี การผลิตดินไฟ(ดินประสิ ว) สิ่ งเหล่านี้สันนิษฐานว่าเจ้าเมืองพานใช้ส่งเป็ นส่ วยถวายให้กบั เจ้าผูค้ รอง นครลําพูน หรื อในพ.ศ.๒๔๒๓ เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์(เจ้าน้อยดาวเรื อง) เจ้าผูค้ รองนคร ลําพูนองค์ที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๑๔ – ๒๔๓๕) ได้ทรงให้ไพร่ พลชาวลําพูนรวมถึงชาวยอง ที่เป็ นครอบครัว ใหญ่มีสมาชิกจํานวนหลายคนให้แบ่งคนออกไปตั้งเมืองเชียงแสน(ขึ้นเมืองนครเชียงใหม่) โดยกลุ่มชาว ยองจากเมืองนครลําพูนจะอาศัยอยูร่ ิ มแม่น้ าํ ต่างๆ ดังเช่น บ้านแม่คาํ สบเปิ น(ตําบลแม่คาํ อําเภอแม่จนั จังหวัดเชียงราย)ตั้งอยูร่ ิ มนํ้าแม่คาํ เป็ นกลุ่มคนจากบ้านเวียงยอง(อําเภอเมืองลําพูน) ที่อพยพติดตาม พระยาราชเดชดํารง(เจ้าน้อยอินทวิไชย ต้นราชตระกูล “เชื้อเจ็ดตน”, ราชบุตรพระเจ้าบุญมาเมือง) เจ้า เมืองเชียงแสนองค์แรก ขึ้นไปตั้งสมทบกับชาวไทใหญ่ที่ต้ งั ถิ่นฐานอยูก่ ่อนแล้วบริ เวณนี้ ภายหลังก็มี ชาวบ้านจากบ้านไร่ หลวง บ้านแซม และบ้านหวาย(อําเภอป่ าซาง)อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานเพิ่ม๖๗ การกวาดต้อนชาวเมืองยองมาในครั้งแรกเมื่อพ.ศ.๒๓๔๘ ไม่ได้นาํ มาทั้งหมดเมือง บางส่ วนก็ หลบลี้หนีเข้าป่ า ที่พระราชพงศาวดาร บันทึกว่าได้ไพร่ พลชาวเมืองยองลงมา ๑๐,๐๐๐ กว่าคน ปื นน้อยใหญ่จาํ นวน ๑,๐๐๐ กระบอก และช้างม้าจํานวน มาก๖๘ ตัวเลขเหล่านี้อาจบันทึกไว้มาก งานศพในอดีตของชาวยองบ้ านหลุก ตาบลเหมืองง่ า อาเภอเมือง จังหวัดลาพูน (ที่มา : ชมรมคนฮักผาสาท)
๖๖
สมบูรณ์ เชื้ อเมืองพาน, อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพคุณพ่ อสุ ข เชื้อเมืองพาน.(เชียงราย : มปพ., ๒๕๓๐),หน้า ๒๓ – ๒๕.
๖๗
สัมภาษณ์นายดนัย สมบัติใหม่(ฟังมาจากการบอกเล่าของผูเ้ ฒ่าผูแ้ ก่บา้ นแม่คาํ สบเปิ น) อายุ ๒๘ ปี เลขที่ ๓๘๕ หมู่ ๑๔ บ้านแม่คาํ สบเปิ น ตําบลแม่คาํ อําเภอแม่จนั จังหวัดเชี ยงราย วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ๖๘
นฤมล ธีรวัฒน์, พระราชพงศาวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ ,(กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๓๙), หน้า ๑๘๙.
๑๙
เกินความจริ งเพื่อแสดงถึงพระเกียรติของกษัตริ ยส์ ยาม เพราะเอกสารจดหมายเหตุการตั้งเมืองนคร ลําพูนในพ.ศ.๒๓๔๘ บันทึกว่ามีชาวเมืองยองที่ขอคืนจากเมืองต่างๆ รวมแล้วประมาณ ๘๒๑ คน และจากเมืองหลวย(อาจรวมเมืองยู)้ อีก ๑๗๔ คน ซึ่ งใกล้เคียงกับบันทึกของเมืองเชี ยงแสนที่ระบุวา่ มี ไพร่ พลเมืองยองที่เข้าอยูเ่ วียงยองจํานวน ๑,๒๐๐ คน๖๙ ดังนั้นจึงมีชาวยองบางส่ วนคงอยูใ่ นเมืองยอง เดิม ดังในช่วงพ.ศ.๒๓๕๐ หลังจากที่กวาดต้อนชาวเมืองยองลงมาได้ ๒ ปี พระเจ้ากาวิละ พระเจ้า นครเชียงใหม่ทรงโปรดให้ทา้ วบุญเรื อง ท้าวคําวัง ท้าวลือไชย และท้าวกําแพง ทําหน้าที่เป็ นพ่อเมือง ทั้ง ๔ ปกครองดูแลเมืองยอง๗๐ และในพ.ศ.๒๓๕๔ ยังปรากฏมีการสถาปนาแต่งตั้งเจ้าเมืองจากเชื้อ สายเจ้านายเดิมของแต่ละเมือง และมีการถือนํ้าพิพฒั น์สัจจาต่อพระเจ้ากาวิละของเจ้าเมืองต่างๆ (ขึ้นกับ พระเจ้านครเชียงใหม่) ที่จะกลับขึ้นไปครองเมืองที่วดั เชี ยงมัน่ เมืองนครเชียงใหม่ ได้แก่ เจ้าเมืองเชียง แสน เจ้าเมืองวะ เจ้าเมืองหลวย เจ้าเมืองกาย เจ้าเมืองลวง เจ้าเมืองเชียงรุ่ ง เจ้าเมืองหุ น รวมถึงเจ้า เมืองยองด้วย๗๑ สันนิษฐานว่าเจ้านายเชื้ อสายเมืองยองที่กลับขึ้นไปเป็ นเจ้าฟ้ าปกครองเมืองยอง คือ เจ้าขิแยง(เจ้าหม่อมกะลิก) ราชอนุชาของเจ้าฟ้ าหลวงเมืองยอง ที่อพยพลงมาในพ.ศ.๒๓๔๘ และใน พ.ศ.๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละได้ทรงโปรดสถาปนาขึ้นเป็ น “เจ้าสุ ริยวงศา”(เจ้ากระหม่อมสุ ริยวงศา) กลับขึ้นไปเป็ นเจ้าฟ้ าเมืองยององค์ที่ ๓๔ (พ.ศ.๒๓๕๔ – ๒๓๕๖) เพราะในปี เดียวกันนี้พระเจ้ากาวิละ ทรงมีหนังสื อราชอาชญาถึงเจ้าสุ ริยวงศา ให้เกณฑ์กองกําทัพเมืองยองเข้าร่ วมกองทัพหลวงเมืองนคร เชียงใหม่ ซึ่งจะไปช่วยเจ้าฟ้ ามหาขนาน(เจ้าดวงแสง) เมืองนครเชียงตุงตีพม่าที่เมืองยาง๗๒ ส่ วนการกวาดต้อนชาวเมืองยองลงมาในครั้งที่ ๒ ในพ.ศ.๒๓๕๖ เกิดจากเพื่อไม่ตอ้ งการให้ หัวเมืองยองรวมถึงหัวเมืองตอนเหนืออื่นๆ เป็ นฐานกําลังให้พม่า จึงได้นาํ เจ้าสุ ริยวงศา เจ้าฟ้ าเมืองยอง เจ้าเมืองกาย เมืองวะ เมืองเชียงขาง เมืองพยาก เมืองเลน และพญาเขื่ อน เมืองยาง พร้อมชายาราช บุตรราชธิดา เจ้านาย ขุนนางและไพร่ พลลงมาอีกครั้ง๗๓ ซึ่ งครั้งนี้สันนิษฐานว่าคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ถูก จัดแบ่งให้เข้าตั้งถิ่นฐานในเมืองนครลําพูน แต่พระเจ้ากาวิละได้ทรงโปรดให้ต้ งั ถิ่นฐานในบริ เวณทาง ตอนเหนื อของเมืองนครเชียงใหม่ ในบริ เวณอําเภอสันกําแพง อําเภอแม่ริม อําเภอแม่แตง อําเภอสัน ทราย และอําเภอดอยสะเก็ด ดังบริ เวณนี้ปรากฏตั้งชื่ อหมู่บา้ นตามชื่อเมืองที่อพยพลงมา โดยเฉพาะเจ้า สุ ริยวงศา เจ้าฟ้ าเมืองยอง เจ้านาย ขุนนาง และไพร่ พลเมืองยอง จะตั้งถิ่นฐานบริ เวณแคว้นแช่ชา้ ง (อําเภอสันกําแพง) อันเป็ นเขตติดต่ออยูท่ างทิศเหนื อกับเมืองนครลําพูนอันเป็ นที่ต้ งั ของเจ้านายเมือง ยองริ มฝั่งแม่น้ าํ กวงที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ๖๙ ๗๐ ๗๑ ๗๒ ๗๓
“คํามะเกล่าเมืองเชียงแสน” ในสรัสวดี อ๋ องสกุล (ปริ วรรต), พืน้ เมืองเชียงแสน, (อ้างแล้ว), หน้า ๒๕๒. ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๔๘. สรัสวดี อ๋ องสกุล(ปริ วรรต), หลักฐานประวัติศาสตร์ ล้านนา จากเอกสารคัมภีร์ใบลานและพับหนังสา, (อ้างแล้ว), หน้า ๑๑๙ - ๑๒๐. ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชี ยงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๕๐. ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชี ยงใหม่, ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๕๐.
๒๐
และบันทึกนิกายสงฆ์ของเมืองนครเชียงใหม่โดยเจ้าหนานอุ่นเมือง กองธรรมการสงฆ์เมือง นครเชียงใหม่เมื่อพ.ศ.๒๔๔๐ ก็ระบุถึงบริ เวณแคว้นแช่ชา้ งมีวดั ที่เป็ นนิกายยองอยูถ่ ึง ๖ วัด คือ (๑) วัดป่ าตาล (๒)วัดดงขี้เหล็ก (๓)วัดย่าปาย (๔)วัดดอนปิ น (๕)วัดบ่อค่าง(วัดบวกค้าง) และ(๖)วัดร้อย พ้อม(วัดร้อยพร้อม) ที่แสดงถึงการเป็ นชุมชนชาวยองขนาดใหญ่ในพื้นที่บริ เวณนี้ นอกจากนี้ยงั มีชื่อวัด ชื่อหมู่บา้ นและนิกายสงฆ์แสดงถึงบ้านเมืองที่ถูกกวาดต้อนลงมาด้วยกันครั้งนี้ อยูบ่ ริ เวณทางตอนเหนือ ของเมืองนครเชียงใหม่ไม่ไกลจากชุมชนชาวยองในแคว้นแช่ชา้ ง เช่น วัดเมืองวะ บ้านเมืองวะ วัด เมืองเลน บ้านเมืองเลน วัดเมืองขอน บ้านเมืองขอน วัดสันทรายเมืองวะ บ้านสันทรายเมื องวะ วัด เมืองวะเวียงแก่น บ้านเมืองวะเวียงแก่น แคว้นหนองจ๊อม วัดมิ่งแก้วดอนไชย(วัดบ้านหลวย) บ้าน หลวย และวัดกาดออน นิกายหลวย แคว้นเมืองออน เป็ นต้น๗๔ โดยเฉพาะบริ เวณหมู่บา้ นบวกค้าง(บ่อค่าง) มีการสร้างวัดบวกค้าง(บ่อค่าง)ขึ้นเป็ นวัดแรกและ เป็ นหมู่บา้ นศูนย์กลางของชุมชนชาวยองบริ เวณนี้ (ปั จจุบนั หมู่บา้ นบวกค้างอยูใ่ นตําบลบวกค้าง ตําบล บวกค้างมี ๑๓ หมู่บา้ น มีชาวยองอาศัยอยูห่ นาแน่นกว่าตําบลอื่นของอําเภอสันกําแพง จังหวัด เชียงใหม่)๗๕ สันนิษฐานว่าเป็ นหมู่บา้ นที่เจ้าสุ ริยวงศา เจ้าฟ้ าเมืองยองพร้อมกับเจ้านายเมืองยองเข้ามา ตั้งถิ่นฐานอยูต่ ้ งั แต่พ.ศ.๒๓๕๖ ก่อนหนีกลับขึ้นไปฟื้ นฟูเมืองยองอีกครั้ง ซึ่งปรากฏหลักฐานเจ้าสุ ริ ยวงศาพร้อมกับเจ้านายขุนนาง ได้ให้การอุปถัมภ์ก่อสร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุของวัดนี้ อยูอ่ ย่าง สมํ่าเสมอ ดังเช่น เจ้าสุ ริยวงศาเป็ นประธานฝ่ ายฆราวาส ครู บาเจ้าญาณสิ ริ เจ้าอาวาสวัดบวกค้างเป็ น ประธานฝ่ ายสงฆ์สร้างพระอุโบสถและพระพุทธรู ป ๒๐๐ องค์ในพ.ศ.๒๓๖๓ สร้างหีดธรรม(ตู้ พระไตรปิ ฎก)ถวายพ.ศ.๒๓๘๕ สร้างแผงพระกัป(แผงพระพิมพ์ ๒๘ องค์)ถวายพ.ศ.๒๓๙๐ และ หมื่นสิ ริสร้างพระพุทธรู ปไม้ถวายวัดบวกค้างพ.ศ.๒๓๖๓ ดังปรากฏจารึ กการสร้างดังนี้ “จุฬสกราชได้ ๑๑๘๒ ตัว(พ.ศ.๒๓๖๓)...มูลสัทธาพายในหมายมีสวาธุหลวงเจ้ ายาสิ ริ อาราธิ ปติวัดบ้ านบ่ อค่ างเปนเค้ ากว่ าสิ กข์ โยม... พายนอกหมายมีเจ้ าขะหม่ อมสุริยวงสาเปนเค้ า
๗๔
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่(ปริ วรรต), รายชื่อวัดและนิกายสงฆ์ โบราณในเชียงใหม่ ,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๑๘), หน้า ๑๓ – ๓๓. ๗๕
รัตนาพร เศรษฐกุล, รายงานการวิจัยการคงอยู่และการปรับเปลีย่ นของสั งคมและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ไท : กรณีศึกษาหมู่บ้าน ยอง ตาบลบวกค้าง อาเภอสันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ ,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗), หน้า ๔. “หมูท่ ี่ ๑ บ้านบวกค้าง หมูท่ ี่ ๒ บ้านบวก ค้าง หมู่ที่ ๓ บ้านต้นดู่ หมู่ที่ ๔ บ้านป่ าตาล หมู่ที่ ๕ บ้านแม่แต หมู่ที่ ๖ บ้านร้อยพร้อม หมู่ที่ ๗ บ้านย่าปาย หมู่ที่ ๘ บ้านกอสะ เรี ยม หมู่ที่ ๙ บ้านร้องก่องข้าว หมู่ที่ ๑๐ บ้านช่างเพี้ยน หมู่ที่ ๑๑ บ้านโป่ ง หมู่ที่ ๑๒ บ้านร้องก่องข้าว และหมู่ที่ ๑๓ บ้านหนอง เหนี่ยง ตําบลบวกค้าง อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชี ยงใหม่”
๒๑
กว่ าท้ าวขุน ...มาส้ างแปลงยังบัวสถหลัง ๑ ...แล้ วได้ ส้างพุทธรู ปเจ้ าไว้ กับอุบัวสถ พระองค์ เปนทาน...”๗๖
๒๐๐
“จุฬสกราชได้ ๑๒๐๔ ตัว(พ.ศ.๒๓๘๕) ปลีเต่ ายี ...ทุหลวงเตวิชาเปนเคล้ ากว่ าสิ สาลู กสิ กข์ ทังหลาย ...หนพายนอกอันเปนอุปถัมภกมีเจ้ าคระหม่ อมสุริยวุงส์ (วงศ์ ) เปนเค้ ากว่ า เจ้ านายชู่ตนแล แสนคามี แลท้ าวขุนผู้เถ้ าผู้แก่ พ่ อแม่ น้อยใหญ่ ยิงชายได้ ส้างหี ดธัมม์ ไว้ คา้ ชู พุทธสาสนา...”๗๗ “สกราชได้ ๑๒๐๙ ตัว(พ.ศ.๒๓๙๐) ...ราชสัทธามีเจ้ าคระหม่ อมสุริยวงส์ เมืองยอง เปนเคล้ าพร้ อมกับด้ วยราชกัญญาปุตตาปุตตี นัตตานัตตี สัมพันธวงสาทังมวลได้ มาริ รังส้ าง แปลงยังพุทธรู ปเจ้ า ๒๘ พระองค์ กับโคตมะ ๒ องค์ ไว้ คา้ ชูสาสนา ๕ พันวสา...”๗๘ สาเหตุที่เจ้าสุ ริยวงศาไม่ไปตั้งอยูท่ ี่เมืองยอง(เวียงยอง)ในเมืองนครลําพูนร่ วมกับเจ้าฟ้ าหลวง เมืองยองผูเ้ ป็ นพระเชษฐา สันนิษฐานว่า นอกจากพระเจ้ากาวิละทรงโปรดให้ต้ งั ถิ่น ฐานอยูบ่ ริ เวณนี้เพื่อเป็ นการเพิ่มกําลังไพร่ พลและเพิม่ ผลประโยชน์ให้กบั เมืองนคร เชียงใหม่ บริ เวณเวียงยองมีไพร่ พลอยู่ หนาแน่นพอสมควร ยังอาจเป็ นการ หลีกเลี่ยงการซ้อนทับทางอํานาจระหว่าง เจ้าฟ้ าหลวงเมืองยององค์เก่าที่มาเป็ นเจ้า เมืองยองในเมืองนครลําพูน กับเจ้าสุ ริ ยวงศา เจ้าฟ้ าเมืองยององค์ใหม่ที่พระเจ้ากา อุโบสถวัดบวกค้ าง(วัดบ่ อค่ าง) วิละทรงโปรดสถาปนาแต่งตั้ง โดยเฉพาะ อาเภอสั นกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ การปกครองไพร่ พลที่กวาดต้อนมาครั้งหลัง (ที่มา : พระจตุพล จิตฺตสํวโร และเกริ ก อัครชิโณเรศ) ๗๖
พระจตุพล จิตฺตสํวโร และเกริ ก อัครชิโนเรศ “การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมภาษาเขียนของชุมชนชาวยองในเชียงใหม่ จากตัวลื้อ สู่ ตวั
เมือง : กรณี ศึกษาเอกสารโบราณของวัดบวกค้าง (พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๕๐๐)” อ้างในสํานักวิจยั และพัฒนา กรมส่ งเสริ มวัฒนธรรม, เอกสาร ประกอบการสัมมนาเรื่อง “คนยอง : ภาษา ผ้าทอ พัฒนาการและการเปลีย่ นแปลง,(เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๕๔), หน้า ๕. ๗๗
พระจตุพล จิตฺตสํวโร และเกริ ก อัครชิโนเรศ “การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมภาษาเขียนของชุมชนชาวยองในเชียงใหม่ จากตัวลื้อ สู่ ตวั เมือง : กรณี ศึกษาเอกสารโบราณของวัดบวกค้าง (พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๕๐๐)”,(อ้างแล้ว), หน้า ๙. ๗๘
พระจตุพล จิตฺตสํวโร และเกริ ก อัครชิโนเรศ “การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมภาษาเขียนของชุมชนชาวยองในเชี ยงใหม่ จากตัวลื้อ สู่ ตวั เมือง : กรณี ศึกษาเอกสารโบราณของวัดบวกค้าง (พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๕๐๐)”,(อ้างแล้ว),หน้า ๙.
๒๒
ในพ.ศ.๒๓๕๖ ที่จะยังอยูภ่ ายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าสุ ริยวงศา หากนําไปสมทบอยูใ่ นเมืองยองที่ เมืองนครลําพูน ย่อมจะเกิดการขัดแย้งเรื่ องผลประโยชน์กนั ได้ สถานะของเจ้าสุ ริยวงศาคงมีไพร่ จากเมืองยองบริ เวณนี้ อยูใ่ นการดูแลแล้วจัดเก็บผลประโยชน์ ส่ งส่ วยให้กบั เจ้าผูค้ รองนครเชียงใหม่ โดยเฉพาะข้าวเปลือกและผ้าทอที่ชุมชนชาวยองบริ เวณนี้มีความ ชํานาญ๗๙ และเจ้าสุ ริยวงศาก็มีบทบาทร่ วมกับเจ้านายเมืองนครเชียงใหม่พอสมควร โดยเฉพาะด้านการ ศึกสงครามกวาดต้อนไพร่ พล อาจด้วยมีความชํานาญคุน้ เคยในพื้นที่ทางตอนเหนือของล้านนา และ เป็ นผูค้ วบคุมไพร่ พลชาวยองที่สังกัดได้เกณฑ์เข้าร่ วมกองทัพด้วย ดังพ.ศ.๒๓๘๑ เจ้าสุ ริยวงศาได้คุม กําลังกองทัพเมืองนครเชียงใหม่จาํ นวน ๓,๓๐๐ คนร่ วมกับเจ้านายชั้นสู งของเมืองนครเชียงใหม่ คือ เจ้าอุปราช(เจ้าขนานมหาวงศ์) เจ้าราชวงศ์(เจ้าน้อยมหาพรหมคําคง) และเจ้าบุรีรัตน์(เจ้ารัตนหัวเมือง แก้ว, เจ้าน้อยกาวิละ) ไปตีกวาดต้อนผูค้ นจากเมืองปุ เมืองสาด และเมืองต่วน๘๐ จากบันทึกของเจมส์ จี สก๊อต(James G. Scott) กล่าวถึงเจ้าสุ ริยวงศา เจ้าฟ้ าเมืองยองได้หนีจากเมืองนครเชียงใหม่ เพื่อ รวบรวมไพร่ พลที่หลบหนีเข้าอยูป่ ่ าเขาเมื่อครั้งสงครามการกวาดต้อนผูค้ นในพ.ศ.๒๓๔๘ และพ.ศ. ๒๓๕๖ มาตั้งอยูบ่ า้ นป่ าไผ่ริมแม่น้ าํ ยองถึง ๘ ปี จึงสามารถฟื้ นฟูเมืองยองได้อีกครั้ง๘๑ อาจเป็ นไปได้วา่ เจ้าสุ ริยวงศาถูกริ ดรอนผลประโยชน์ต่างๆ จากเจ้านายเมืองนครเชียงใหม่ลงไป มาก จึงเกิดความไม่พอใจและได้หลบหนีกลับขึ้นไปทําการฟื้ นฟูเมืองยองอีกครั้ง ดังร้อยเอกดับเบิ้นยู ซี แมคเคล้า(W.C.Mcleod) ข้าราชการชาวอังกฤษบันทึกไว้ในช่วงพ.ศ.๒๓๘๐ ว่ามีเจ้านายเมืองยองไม่ พอใจที่เจ้านายล้านนาไม่ทาํ ตามสัญญาที่ให้ต้ งั ถิ่นฐานเองตามความพอใจ และมีอาํ นาจปกครองตนเอง ที่สาํ คัญคือมีการแบ่งปั นไพร่ พลของเจ้านายเมืองยองไปไว้ในบ้านเมืองของตนเอง๘๒ การหลบหนีกลับ ขึ้นไปฟื้ นฟูเมืองยองครั้งนี้ของเจ้าสุ ริยวงศาสันนิษฐานว่าภายหลังพ.ศ.๒๓๙๐ เพราะในปี นี้(พ.ศ. ๒๓๙๐)ยังปรากฏหลักฐานเจ้าสุ ริยวงศาได้ทรงทําบุญที่วดั บวกค้าง และอาจด้วยสาเหตุการพาเจ้านาย และขุนนางไพร่ พลบางส่ วนหลบหนีข้ ึนไปฟื้ นฟูเมืองยองครั้งนี้ของเจ้าสุ ริยวงศา เมื่อเมืองนครเชียงใหม่ ได้ถูกเกณฑ์ให้ส่งกองทัพเข้าร่ วมกับสยามตีเมืองนครเชียงตุงครั้งแรกในพ.ศ.๒๓๙๒ เมื่อตีไม่สาํ เร็ จ เนื่องจากเจ้านายล้านนาไม่เต็มใจที่จะทําสงครามกับเมืองนครเชียงตุง๘๓ กองทัพเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลําพูน และเมืองนครลําปาง จึงได้ถือโอกาสเข้าตีเมืองยอง เมืองสาด แล้วกวาดต้อนผูค้ นลง มาไว้ในบ้านเมือง ดังจดหมายเหตุฉบับพญาอินทวิชา เมืองนครเชียงใหม่ บันทึกไว้วา่ ๗๙
รัตนาพร เศรษฐกุล “จากเมืองยองสู่สันกําแพง ชุมชนยองตําบลบวกค้าง อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชี ยงใหม่” ในสถาบันภาษา ศิลปะ
และวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชี ยงใหม่, ข่ วงผญา,(เชี ยงใหม่ : แสงศิลป์ , ๒๕๕๑),หน้า ๑๑๘. ๘๐ ๘๑ ๘๒ ๘๓
พระยาประชากิจกรจักร, พงศาวดารโยนก,(พระนคร : รุ่ งเรื องรัตน์, ๒๕๐๗),หน้า ๔๘๗. แสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๓๐. “บันทึกของเจมส์ จี สก๊อต(James G. Scott)” อ้างในแสวง มาละแซม, คนยองย้ายแผ่นดิน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,(อ้างแล้ว), หน้า ๑๒๔. วงศ์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, ศึกเชียงตุง, (กรุ งเทพฯ : ประชาชน, ๒๕๕๒), หน้า ๑๗๙.
๒๓
“...ศักราชได้ ๑๒๑๑ (พ.ศ.๒๓๙๒) เดือน ๕ ทางเหนือเป็ นแรม ๑ คา่ แรม ๒ คา่ วันเสาร์ เอาเมืองยอง เมืองสาด ลงมาแล ปี เมื่อขึน้ ไปตีเชี ยงตุงครั้ งแรกไม่ ได้ กลับลงมา เปล่ า...”๘๔ และในพ.ศ.๒๓๙๕ กองทัพเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลําพูน เมืองนครลําปาง เมืองนคร น่าน และเมืองนครแพร่ ได้ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่ วมกับกองทัพสยามเข้าตีเมืองนครเชียงตุงครั้งที่ ๒ แต่ก็ตี เมืองนครเชียงตุงไม่สาํ เร็ จเหมือนกับครั้งก่อน ทางฝ่ ายกองทัพหัวเมืองล้านนาจึงถือโอกาสยกกองทัพไป ตีกวาดต้อนชาวเมืองยอง ซึ่ งขณะนั้นเมืองยองมีบา้ นเรื อนตั้งอยูป่ ระมาณ ๔๐๐ หลังคาเรื อนลงมาอีก ครั้ง๘๕ ซึ่งเป็ นครั้งสุ ดท้ายที่ปรากฏหลักฐานมีการขึ้นไปกวาดต้อนผูค้ นจากเมืองยองลงมาไว้ในล้านนา
พระภิกษุสามเณรชาวยอง หน้ าวิหารวัดป่ าซางหลวง ชุ มชนชาวยองทีอ่ พยพจากเมืองนครลาพูน ขึน้ ไปฟื้ นฟูเมืองเชี ยงแสน (ที่มา : วัดป่ าซางหลวง อําเภอแม่จนั จังหวัด เชียงราย)
แต่ทว่าเจ้านายชั้นสู งของเมืองยองคงหลบหนีกลับขึ้นไปกับเจ้าสุ ริยวงศาไม่หมด ดังปรากฏ หลักฐานในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๙๐ เจ้าคําซาว(เกิดพ.ศ.๒๓๖๑) ราชบุตรของเจ้าสุ ริยวงศาที่เกิดใน เมืองนครเชียงใหม่ ได้ร่วมเสด็จเดินทางลงไปเฝ้ ากษัตริ ยส์ ยามที่กรุ งเทพมหานครเพื่อรับการรับรอง แต่งตั้งเจ้าอุปราช เมืองนครเชียงใหม่ ร่ วมกับเจ้าฟ้ ามหาศิริไชยสารัมพยะ(เจ้ากองไท) เจ้าผูค้ รองเชียง ตุงและเจ้านายชั้นสู งของเมืองนครเชียงตุงที่ต้ งั ถิ่นฐานอยูใ่ นเชียงใหม่ พร้อมเจ้านายชั้นสู งเมืองนคร
๘๔
“จดหมายเหตุฉบับพญาอินทวิชา เมืองนครเชี ยงใหม่ พ.ศ.๒๔๔๑” อ้างใน หอสมุดแห่ งชาติ, ตานานพระเจ้ า ๗ พระองค์เชียงใหม่
และประวัตินายทิพย์ช้างฉบับแปล, พิมพ์เป็ นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพนางจินดา อินทะเคหะ ณ สุ สานช้างคลาน จังหวัดเชี ยงใหม่ วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗, (กรุ งเทพฯ : กรุ งเทพการพิมพ์, ๒๕๑๗), หน้า ๖๒. ๘๕
Volker Grabowsky and Andrew Turton. The Gold and Silver Road of Trade and Friendship.(Chaing Mai : Silkworm Book,
2003), p.282 – 303. และวงศ์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, ศึกเชียงตุง, (อ้างแล้ว), หน้า ๑๘๒.
๒๔
เชียงใหม่ คือ เจ้าอุปราช เจ้าบุรีรัตน์ เจ้าราชบุตร๘๖ หรื อในพ.ศ.๒๓๙๘ เจ้าหนานเทพ(เกิดพ.ศ. ๒๓๕๗) ราชบุตรเจ้าสุ ริยวงศาที่เกิดในเมืองนครเชียงใหม่อีกองค์หนึ่ง ได้ร่วมเสด็จลงไป กรุ งเทพมหานครเพื่อเข้าเฝ้ าถวายสิ่ งของให้กษัตริ ยส์ ยาม พร้อมกับเจ้านายเมืองนครเชี ยงใหม่ เมืองนคร ลําพูน และเชื้อสายเจ้านายเมืองนครเชียงตุงที่อยูใ่ นเมืองนครเชียงใหม่๘๗ ภายหลังจากที่เจ้าสุ ริยวงศาได้ หนีกลับขึ้นไปเมืองยอง และถูกกวาดต้อนลงมาอีก ๒ ครั้งในพ.ศ.๒๓๙๒ และพ.ศ.๒๓๙๕ สันนิษฐานว่ามีการแบ่งไพร่ พลส่ วนใหญ่ให้ต้ งั ถิ่นฐานร่ วมกับชาวเมืองยองที่กวาดต้อนเข้ามารุ่ นก่อนใน เมืองนครเชียงใหม่และเมืองนครลําพูน จึงทําให้ปรากฏมีชุมชนชาวยองขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง ของทั้ง ๒ เมืองดังปรากฏสื บมาถึงในปั จจุบนั ส่ วนกลุ่มเจ้านายขุนนางเมืองยองก็อาจถูกจัดให้อยู่ บริ เวณเวียงเชียงใหม่ท้ งั หมด เพื่อให้สามารถควบคุมดูแลได้อย่างใกล้ชิด พร้อมกับเป็ นการแยกเจ้านาย ขุนนางเมืองยองออกจากไพร่ พลชาวเมืองยอง ด้วยเหตุน้ ี จึงอาจเป็ นสาเหตุให้ไม่ปรากฏมีเชื้อสายเจ้านาย เมืองยองตั้งถิ่นฐานอยูบ่ ริ เวณบ้านบวกค้างในปั จจุบนั ส่ วนชาวยองในเมืองนครเชียงใหม่บางส่ วนสันนิษฐานว่ามีการขยายตัวลงไปทางทิศใต้ออกไป ตั้งถิ่นฐานบริ เวณอําเภอสันป่ าตองและอําเภอแม่วาง(จังหวัดเชียงใหม่) บางส่ วนก็ขยายตัวออกไปตั้งถิ่น ฐานทางทิศเหนือไกลถึงเมืองฝาง เมืองพาน เมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสน ดังเช่น พ.ศ.๒๔๓๒ ชาวยองบ้านดอนปิ น(ตําบลแช่ชา้ ง อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่) จํานวน ๔ ครอบครัวขึ้นไปตั้ง บ้านป่ าไผ่ เมืองพาน หรื อชาวยองบ้านบวกค้าง(ตําบลบวกค้าง อําเภอสันกําแพง) มีการอพยพไปตั้ง บ้านบ่อก้าง(ตําบลสันทราย อําเภอแม่จนั จังหวัดเชียงราย) เมืองเชียงแสน ติดต่อกันอยูห่ ลายครั้งจนถึง ช่วงพ.ศ.๒๔๗๒ อพยพไปครั้งละ ๒๐ – ๓๐ คน หรื อประมาณ ๕ ครอบครัว๘๘ ด้วยการขยายตัวของชุมชนชาวยองออกไปอย่างกว้างขวาง พร้อมกับมีการแต่งงานติดต่อค้าขาย ระหว่างกัน ชาวยองในชุมชนต่างๆ ทั้งในเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลําพูน เมืองฝาง เมืองเชียงราย เมืองเชียงแสน และเมืองพาน จะมีความสัมพันธ์กนั ระหว่างกันอยูเ่ สมอ ดังอดีตพระสงฆ์เชื้อสายชาว ยองบางหัววัดจากอําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่ อําเภอบ้านธิ จังหวัดลําพูน จะมาร่ วมทําสังฆ กรรมที่อุโบสถวัดบ้านหลุก(ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมืองลําพูน)๘๙ หรื อครู บาเจ้าคันธวงศ์ วัดสะปุ๋ ง หลวง(ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน) สื บทอดคาถา ยันต์ และตําราต่างๆ มาจากครู บาเจ้า วัดบ่อค่าง(วัดบวกค้าง ตําบลบวกค้าง อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่) “...จบับคุณวิเศษสังคหะทัง ๘๖
“สารตราฯ ถึงเมืองเชียงใหม่ นครลําพูน นครลําปาง เรื่ องตั้งพระยาอุปราช จ.ศ.๑๒๐๙” อ้างในสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ,
จดหมายเหตุนครเชียงใหม่ ,(อ้างแล้ว), หน้า ๒๐๗ – ๒๐๙. ๘๗
“บัญชีรายวันบอกเจ้าเมืองกรมการส่ งเครื่ องยศและสิ่ งของลงมาเฝ้ า จ.ศ.๑๒๑๗” อ้างในสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , จดหมายเหตุ
นครเชียงใหม่ ,(อ้างแล้ว), หน้า ๒๔๔ – ๒๔๕. ๘๘
อุดม รุ่ งเรื องศรี และคณะ(ปริ วรรต), คร่ าวร่าชาวบ้ านบวกค้ าง สั นกาแพงอพยพไปอยู่เชียงแสน,(เชียงใหม่ : พงษ์สวัสดิ์การพิมพ์, ๒๕๕๐), หน้า ๑. ๘๙
สัมภาษณ์พระครู อมรธรรมรัตน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓
๒๕
หลายฝูงนีส้ ื บแต่ เช่ นครู บาเจ้ าวัดบ่ อค่ าง แฅว้ นเมืองเชี ยงใหม่ ย่ อมวุฒิดั่งใจมักแล...”๙๐ ที่แสดงให้เห็น ถึงความสัมพันธ์กนั ระหว่างชาวยองในเขตเมืองนครเชียงใหม่กบั เมืองนครลําพูน โดยเฉพาะกลุ่ม พระภิกษุสามเณร “นิกายยอง” รวมถึงชาวยอง(ไทลื้อเมืองยอง)ในเมืองนครน่าน ที่ปรากฏหลักฐานว่า ช่วงพ.ศ.๒๔๔๒ พระอินทปัญญาจากเมืองนครน่านมาศึกษาเล่าเรี ยนอยูก่ บั ครู บาเจ้าคันธวงศ์ วัดสะปุ๋ ง หลวง(อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน) หรื อกระทัง่ ชาวยองในเมืองยองเดิมกับชาวยองในเมืองนคร เชียงใหม่ ดังปรากฏพบคัมภีร์ธรรมพุทธาภิเษก ๒ ผูก จารโดยจันทภิกขุ วัดเมืองใหม่ เมืองยอง เมื่อ พ.ศ.๒๓๔๒ ที่วดั หมื่นสาร อําเภอเมืองเชียงใหม่๙๑ หรื อครู บาเจ้าญาณสิ ริ วัดบ้านแซมหลวง เมืองยอง มาเป็ นเจ้าอาวาสวัดบวกค้าง แคว้นแช่ชา้ ง(อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่)ในช่วงพ.ศ.๒๓๖๓ และ ภายหลังยังปรากฏมีการอพยพเคลื่อนย้ายติดต่อกันอยูเ่ สมอ ระหว่างชาวเมืองยองเดิมกับชุมชนชาวยอง ในเขตประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตชายแดนบริ เวณอําเภอแม่สาย อําเภอเชียงแสน และอําเภอแม่จนั จังหวัดเชียงราย หรื อช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ ก็มีชาวเมืองยองอพยพหนี ภยั สงครามเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ บ้านวังไผ่ อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่๙๒
อุโบสถวัดบ้ านหลุก ตาบลเหมืองง่ า อาเภอเมือง จังหวัดลาพูน (ที่มา : ณัฐวุฒิ ใจบุญ, ๒๕๕๔)
๙๐
ภูเดช แสนสา(อ่าน), พับหัวคาถา ยันต์ และตาราต่ างๆ ของครู บาเจ้ าคันธวงศ์ วัดสะปุ๋ งหลวง ตาบลม่ วงน้ อย อาเภอป่ าซาง จังหวัด
ลาพูน, อักษรธรรมล้านนา. ๙๑
ทุนอุดหนุนการวิจยั จากงบประมาณของรัฐบาล, โครงการอนุรักษ์ พระคัมภีร์ล้านนา ปริวรรตและวิเคราะห์ เนือ้ หา,(เชียงใหม่ : มิ่งเมือง เชียงใหม่, ๒๕๔๔), หน้า ๙๕. ๙๒
ยุพิน เข็มมุกด์, ความเชื่อ พิธีกรรม สายใยในวิถีล้านนา,(อ้างแล้ว), หน้า ๒๓.
๒๖
ขณะที่เชื้อสายชาวยองในจังหวัดลําพูนช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐ ยังปรากฏมีการอพยพไปอยูเ่ ชียง แสน เชียงราย เพื่อหาที่ทาํ กินใหม่ เพราะที่ดินบริ เวณเชียงแสน เชียงรายในขณะนั้นมีราคาถูกกว่าที่ดิน ในจังหวัดลําพูนหลายเท่า (ขณะนั้นมีถนนทางหลวงแผ่นดินที่เชื่ อมต่อกับจังหวัดเชียงใหม่ตดั ผ่านพื้นที่ อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน) ชาวยองบางครอบครัวที่มีที่ดินทํากินน้อยจึงทําการขายที่ดินที่อาํ เภอป่ า ซาง จังหวัดลําพูน ไปซื้ อทีด่ ินบุกเบิกพื้นที่ทาํ กินใหม่ในเขตเชียงแสน เชียงราย ดังเช่น ครอบครัวของ พ่อหนานบรรจง หมื่นแสน ชาวบ้านนํ้าดิบ ตําบลนํ้าดิบ อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน ย้ายไปอยูบ่ า้ น สันนา ตําบลเกาะช้าง อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย(ภายหลังย้ายมาอยูบ่ า้ นสันผักฮี้ ตําบลแม่สาย อําเภอแม่สาย) โดยนัง่ รถวัว(รถโดยสาร)เข้าตัวเมืองลําพูนเพื่อขึ้นรถไฟไปลําปาง แล้วนัง่ รถโดยสารที่ ลําปางใช้เวลา ๑ วันจึงถึงแม่สาย จังหวัดเชียงราย และชาวยองอําเภอป่ าซางในช่วงนี้บางส่ วนก็ไปตั้ง ถิ่นฐานที่อาํ เภอพาน จังหวัดเชียงราย๙๓ ขณะเดียวกันเมื่อมีการย้ายถิ่นฐานไปอยูใ่ นจังหวัดเชียงรายก็ ยังคงมีการติดต่อกับญาติพี่นอ้ งในจังหวัดลําพูน ดังเมื่อมีงานบุญ งานศพ หรื องาน “ปอยหลวง” เฉลิม ฉลองต่างๆ ก็จะเดินทางมาร่ วมงานกันอยูเ่ สมอ การอพยพเคลื่อนย้ายการตั้งถิ่นฐานของชาวยองยังคงมี อยูเ่ สมอมาจนกระทัง่ ถึงช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ ทั้งอพยพออกและอพยพกลับเข้ามาในจังหวัดลําพูน ดังเช่นในช่วงนี้(ทศวรรษ ๒๕๓๐)บางครอบครัวได้มีการอพยพกลับคืนมาจาก “เมืองเชียงแสน”(บริ เวณ อําเภอเชียงแสนและอําเภอแม่จนั จังหวัดเชียงราย) เพื่อกลับมาอยูก่ บั ญาติพี่นอ้ งในหมู่บา้ นเดิมที่อาํ เภอ ป่ าซาง จังหวัดลําพูน เนื่องจากทําการค้าขายสร้างฐานะมัน่ คงดีแล้วจึงอยากกลับคืนมาอยูร่ ่ วมกับญาติพี่ น้องเดิมในจังหวัดลําพูน ซึ่งชาวยองเรี ยกยุคนี้วา่ “ไปเชียงแสนก็แหงนป้ อก ไปเชียงรายก็หงายป้ อก” จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดในข้างต้น แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ ของชาวเมืองยองที่เข้ามาอยู่ ในเมืองนครลําพูนยังคงมีชีวิตชีวา ก้าวดําเนินกาลผ่านเวลาตลอด ๒๐๐ กว่าปี ที่ผา่ นมาอย่างไม่เคยหยุด นิ่ง เริ่ มตั้งแต่มีการสถาปนา “เมืองยอง” ขึ้นใหม่ในเมืองนครลําพูนเมื่อพ.ศ.๒๓๔๘ มีเจ้าฟ้ าหลวง เมืองยองเป็ นเจ้าเมืองยองที่ข้ ึนตรงต่อเจ้าผูค้ รองนครลําพูน มีการนําระบบโครงสร้างการปกครอง ตลอดจนถึงคติความเชื่อและพิธีกรรมจากเมืองยองเดิมมาใช้ ภายหลังแม้วา่ เมืองยองถูกยุบผนวกลงเข้า อยูใ่ นส่ วนหนึ่งของเมืองนครลําพูน เจ้านายเชื้ อสายเมืองยองก็ยงั คงได้รับการเคารพนับถือความเป็ น “เจ้า” สื บมาจนถึงช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ ขณะเดียวกันลูกหลานเชื้อสายชาวเมืองยองก็มีการอพยพ เคลื่อนย้ายไปตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่เพื่อขยายพื้นที่ทาํ กินปรากฏมีอยูเ่ สมอมา ทั้งการอพยพเคลื่อนย้ายใน ลักษณะที่เรี ยกว่า “ล่องลงใต้” และ “ไหลขึ้นเหนือ”
๙๓
สัมภาษณ์พ่อหนานบรรจง หมื่นแสน อายุ ๕๙ ปี เลขที่ ๒๒๕ หมู่ ๓ บ้านสันผักฮี้ ตําบลแม่สาย อําเภอแม่สาย จังหวัดเชี ยงราย วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕
๒๗
บรรณานุกรม หวญ.ร.๓ เลขที่ ๘ บัญชี รายชื่อเจ้าเมืองต่างๆ ที่เป็ นหัวเมืองขึ้น จ.ศ.๑๑๙๐ หวญ.ร.๔ เลขที่ ๓๐ จ.ส.๑๒๒๘ สุ ภอักสรเมืองเชียงใหม่ จ.ศ.๑๒๒๘ (มีการเก็บเอกสารการตั้ง เมืองนครลําพูนแทรกไว้ในหมวดนี้) หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๘๗ รายงานราชการเมืองนครลําพูน (๒๖ พ.ย. ร.ศ.๑๑๒ – ๒๓ มี.ค.๑๒๑) หจช.ร.๕ ม.๕๘/๑๒๗ เรื่ องจัดการปกครองเมืองนครเชียงใหม่ (๒ มิ.ย. ๑๑๙ – ๑๔ ต.ค.๑๒๖) กรมศิลปากร. ประชุ มจารึกวัดพระเชตุพน. พระนคร : เจริ ญธรรม, ๒๕๐๖. กําธร ธิ ฉลาด และคณะ. รายงานวิจัยพหุภาคีกบั การมีส่วนร่ วมของท้ องถิ่นในการศึกษาศิลปวัฒนธรรม ศึกษากรณีล่ มุ นา้ กวงตอนปลายเขตตาบลต้ นธงและตาบลเวียงยอง อาเภอเมืองลาพูน จังหวัดลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๖. จันทร์ฉาย ไชยมาลา. ประวัติหมู่บ้านม่ วงโตน ตาบลเหล่ ายาว อาเภอบ้ านโฮ่ ง จังหวัดลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗. ทุนอุดหนุนการวิจยั จากงบประมาณของรัฐบาล. โครงการอนุรักษ์ พระคัมภีร์ล้านนา ปริวรรตและ วิเคราะห์ เนือ้ หา. เชียงใหม่ : มิ่งเมืองเชียงใหม่, ๒๕๔๔. นฤมล ธีรวัฒน์. พระราชพงศาวดารกรุ งรัตนโกสิ นทร์ รั ชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ . กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๓๙. นงค์นุช จันทะวัน. ประวัติหมู่บ้านเวียงหนองล่ อง. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗. บุญส่ ง อินทะพงศ์ และคณะ.รายงานการวิจัยโครงการฮีตฮอยคนยองกับกระบวนการแก้ไขปัญหา แบบมีส่วนร่ วมของชุ มชนบ้ านล้ อง ตาบลป่ าซาง อาเภอป่ าซาง จังหวัดลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๙. ประชัน รักพงษ์ และคณะ. การศึกษาหมู่บ้านไทยลือ้ ในจังหวัดลาปาง. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๐. ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง. เพ็ชรล้านนา(๒). พิมพ์ครั้งที่ ๒. เชียงใหม่ : นอร์ ทเทิร์น พริ้ นติ้ง, ๒๕๓๘. พระครู สมุห์ภทั รพล ธมฺ มสุ นฺทโร(ปริ วรรต). ปัคคทืนเชี ยงแสน – ละกอน พ.ศ.๒๒๘๒ – ๒๔๒๘. ลําปาง : นํ้าโท้งการพิมพ์, ๒๕๕๓. พระครู สังวรญาณประยุต. ประวัติวดั หัวขัว. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๒. พระมหานิเวศน์ กิตฺติเชฏฺโฐ และคณะ. รายงานการวิจัยโครงการพัฒนากระบวนการฟื้ นฟู ทรัพยากรธรรมชาติลานา้ แม่ สารอย่างมีส่วนร่ วม ตาบลศรีบัวบาน ตาบลป่ าสั ก ตาบลเวียงยอง อาเภอเมือง จังหวัดลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๕๒. พระยาประชากิจกรจักร. พงศาวดารโยนก. พระนคร : รุ่ งเรื องรัตน์, ๒๕๐๗. ฟอลเกอร์ กราบ๊อฟสกี้. “เก็บผักใส่ ซา้ เก็บข้าใส่ เมือง” วารสารศิลปวัฒนธรรม. มกราคม ๒๕๓๘.
๒๘
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(ปริ วรรต). รายชื่อวัดและนิกายสงฆ์ โบราณ ในเชียงใหม่ . เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๑๘. ภูเดช แสนสา(อ่าน). จารึกฐานพระเจ้ าไม้ วดั บ้ านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๓๖๒, พ.ศ.๒๓๖๓ และพ.ศ.๒๓๗๘ สํารวจเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓. _____________(ปริ วรรต). จารึกครู บาอิน่ คา คัมภีโร วัดสะปุ๋ งหลวง อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๕๐๑ อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). พับหัวคาถา ยันต์ และตาราต่ างๆ ของครู บาคันธวงศ์ วัดสะปุ๋ งหลวง ตาบลม่ วงน้ อย อาเภอป่ าซาง จังหวัดลาพูน. อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). จารึกแผ่นไม้ วดั ฉางข้ าวน้ อยเหนือ อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๓๗๒ อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). จารึ กแผ่ นหินชนวนครู บานันตา วัดพระธาตุขวยปู เมืองลอง พ.ศ.๒๔๔๖ อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). จารึ กฐานพระพุทธรู ปวัดบ้ านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน พ.ศ.๒๔๗๘ อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). จารึ กท้ ายคัมภีร์มโหสถะ ผูกต้ น จารโดยเจ้าพญาเมืองมูลและเจ้านางริ กา วัดสะปุ๋ งหลวง อักษรธรรมล้านนา. _____________ (อ่าน). จารึกท้ายคัมภีร์ยอดไตรปิ ฏกะทัง ๓ จารโดยอินทภิกขุ พ.ศ.๒๔๔๒ วัดสะปุ๋ งหลวง อักษรธรรมล้านนา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริ ภุญไชย. สื บสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ชาวยอง รากเหง้ า ความเคลื่อนไหว และความเปลี่ยนแปลง. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๔๙. มัลลิกา จี๋แก้ว และคณะ. ประวัติหมู่บ้านหลุก ต.เหมืองง่ า อ.เมือง จ.ลาพูน.เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗. ยุพิน เข็มมุกด์. ความเชื่อ พิธีกรรม สายใยในวิถีล้านนา. เชียงใหม่ : แสงศิลป์ , ๒๕๕๔. รัตนาพร เศรษฐกุล. รายงานการวิจัยการคงอยู่และการปรั บเปลีย่ นของสั งคมและวัฒนธรรม ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ไท : กรณีศึกษาหมู่บ้านยอง ตาบลบวกค้ าง อาเภอสั นกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ . เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗. วิลกั ษณ์ ศรี ป่าซาง. คนยองบ้ านเหล่ าดู่ : ประวัติชีวติ ความเป็ นอยู่ ความเชื่ อ และเอกลักษณ์ . เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖. วัดป่ าตันกุมเมือง. อนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพพระครู เรือน สุ ธมฺโม เจ้ าอาวาสวัดป่ าตันกุมเมือง. ลําปาง : ลําปางการพิมพ์, ๒๕๓๐. วงศ์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา. ศึกเชี ยงตุง. กรุ งเทพฯ : ประชาชน, ๒๕๕๒. สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. ข่ วงผญา. เชียงใหม่ : แสงศิลป์ ,
๒๙
๒๕๕๑. สถาบันวิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ตานานมังราย เชี ยงใหม่ เชี ยงตุง. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖. แสวง มาละแซม. คนยองย้ายแผ่นดิน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุ งเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๔. สรัสวดี อ๋ องสกุล. ประวัติศาสตร์ ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๕๑. ______________ (ปริ วรรต). พืน้ เมืองเชียงแสน. กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๔๖. ______________ (ปริ วรรต), พืน้ เมืองน่ าน ฉบับวัดพระเกิด, กรุ งเทพฯ : อมริ นทร์, ๒๕๓๙. ______________ (ปริ วรรต), หลักฐานประวัติศาสตร์ ล้านนา จากเอกสารคัมภีร์ใบลานและพับหนังสา, เชียงใหม่ : สถาบันราชภัฏ, ๒๕๓๖. สุ พตั รา จอมมาวรรณ. ประวัติหมู่บ้านวังไฮ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๗. สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี . จดหมายเหตุนครเชี ยงใหม่ . กรุ งเทพฯ : ดอกเบี้ย, ๒๕๔๒. สํานักพิมพ์กา้ วหน้า. ประชุ มพงศาวดาร ฉบับหอสมุดแห่ งชาติ เล่ ม ๒ (ภาคที่ ๓, ๔ และ ๕). พระนคร : รุ่ งเรื องรัตน์, ๒๕๐๗. สํานักวิจยั และพัฒนา กรมส่ งเสริ มวัฒนธรรม. เอกสารประกอบการสั มมนาเรื่อง “คนยอง : ภาษา ผ้าทอ พัฒนาการและการเปลีย่ นแปลง. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๕๔. สมบูรณ์ เชื้อเมืองพาน. อนุสรณ์ งานฌาปนกิจศพคุณพ่ อสุ ข เชื้อเมืองพาน. เชียงราย : มปพ., ๒๕๓๐. ศูนย์วฒั นธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่. ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ ฉบับเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี . เชียงใหม่ : มิ่งเมือง, ๒๕๓๘. หอสมุดแห่งชาติ. ตานานพระเจ้ า ๗ พระองค์ เชียงใหม่ และประวัตินายทิพย์ช้างฉบับแปล. พิมพ์เป็ นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพนางจินดา อินทะเคหะ ณ สุ สานช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗. กรุ งเทพฯ : กรุ งเทพการพิมพ์, ๒๕๑๗. อภิชาติ ยะมา และคณะ. ประวัติหมู่บ้านป่ าป๋ วย อาเภอบ้ านโฮ่ ง จังหวัดลาพูน. เอกสารอัดสําเนา, ๒๕๓๖. อุดม รุ่ งเรื องศรี และคณะ(ปริ วรรต). คร่ าวร่าชาวบ้ านบวกค้ าง สั นกาแพงอพยพไปอยู่เชี ยงแสน. เชียงใหม่ : พงษ์สวัสดิ์การพิมพ์, ๒๕๕๐. อุณณ์ ชุติมา. พิธีบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพชนจากสิ บสองพันนา(ผีปู่ย่ า). เชียงใหม่ : ลานนา การพิมพ์, ๒๕๓๐.
Volker Grabowsky and Andrew Turton. The Gold and Silver Road of Trade and Friendship. Chaing Mai : Silkworm Book, 2003.
๓๐
การสั มภาษณ์ สัมภาษณ์เจ้ากรองแก้ว ลังการ์ พินธุ์ อายุ ๖๗ ปี บ้านแซม ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์พอ่ หนานมนัส นันทชัยพงศ์ อายุ ๖๓ ปี เลขที่ ๑๘๔ หมู่ ๘ บ้านสะปุ๋ งหลวง ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ สัมภาษณ์พอ่ อุย๊ ตัน อินต๊ะปาน อายุ ๘๔ ปี เลขที่ ๔๐ หมู่ที่ ๔ บ้านวังผาง ตําบลวังผาง อําเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ สัมภาษณ์แม่เฒ่าแสงแก้ว วงค์ราษฎร์ อายุ ๗๑ ปี บ้านเลขที่ ๑๔๙ หมู่ ๑๕ บ้านหนอง ตําบลฝายแก้ว อําเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์พอ่ เฒ่าใหม่อุ่น วงค์ราษฎร์ อายุ ๙๓ ปี บ้านเลขที่ ๑๔๙ หมู่ ๑๕ บ้านหนอง ตําบลฝายแก้ว อําเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์แม่อุย๊ ทูน แสนบุญ อายุ ๙๓ ปี บ้านหนองข่อย(บ้านท่ากาน) ตําบลบ้านกลาง อําเภอสันป่ าตอง จังหวัดเชี ยงใหม่ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์พระครู วมิ ลธรรมจารี (มานิตย์ ธมฺ มจารี ) อายุ ๖๑ ปี วัดสะปุ๋ งหลวง ตําบลม่วงน้อย อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์พระครู อมรธรรมรัตน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านหลุก ตําบลเหมืองง่า อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ สัมภาษณ์พอ่ หนานบรรจง หมื่นแสน อายุ ๕๙ ปี เลขที่ ๒๒๕ หมู่ ๓ บ้านสันผักฮี้ ตําบลแม่สาย อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์นายดนัย สมบัติใหม่ อายุ ๒๘ ปี เลขที่ ๓๘๕ หมู่ ๑๔ บ้านแม่คาํ สบเปิ น ตําบลแม่คาํ อําเภอแม่จนั จังหวัดเชียงราย วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สัมภาษณ์นายกรกช แสนเขื่อน อายุ ๒๐ ปี เลขที่ ๑๖/๑ หมู่ ๑ บ้านกองงาม ตําบลแม่แรง อําเภอป่ าซาง จังหวัดลําพูน วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
๓๑
ภูเดช แสนสา อาจารย์พิเศษสาขาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๕๕๒ – ๒๕๕๕) ที่ปรึ กษาและผูเ้ ชี่ยวชาญประจําศูนย์ขอ้ มูลภูมิปัญญาล้านนา(ศูนย์ใบลานศึกษา) สถาบันภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรม(สถาบันล้านนาศึกษา) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๕๕ ที่ปรึ กษาสภาวัฒนธรรมอําเภอลอง จังหวัดแพร่ (พ.ศ.๒๕๕๔ - ๒๕๕๕) ที่ปรึ กษาศูนย์การเรี ยนรู้ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นพื้นบ้านล้านนาอําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๕๕ การศึกษา ศศ.ม. ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๕๒ ศป.บ. ศิลปะไทย (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๙ ศศ.บ. ไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิราช พ.ศ.๒๕๕๕ ปก. ภาษาและวรรณกรรมล้านนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๔๖ ผลงานทางวิชาการ - หนังสื อประวัติศาสตร์เมืองลอง หัวเมืองบริ วารในล้านนาประเทศ พ.ศ.๒๕๕๔ - หนังสื อประวัติวดั พระธาตุไฮสร้อย วัดหลวงกลางเวียง เมืองลอง พ.ศ.๒๕๕๔ - หนังสื อซาวห้าปี ขวบเข้า หมู่เฮาชาวพื้นบ้านล้านนา (บรรณาธิ การ) พ.ศ.๒๕๕๔ - หนังสื อเมืองลอง (บรรณาธิการ) พ.ศ.๒๕๕๕ - บทความวิชาการด้านล้านนาคดีตีพิมพ์ในหนังสื อและวารสารต่างๆ จํานวน ๒๑ บทความ (พ.ศ.๒๕๔๙ – ๒๕๕๕) - งานพิมพ์คดั ลอกและปริ วรรตจากคัมภีร์ใบลานและพับสาจํานวน ๘๗ เรื่ อง ๑๗๔ ผูก/ฉบับ (พ.ศ.๒๕๔๒ – ๒๕๕๕) - งานการศึกษาค้นคว้าวิจยั (อัดสําเนา)จํานวน ๗ เรื่ อง (พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๕๕) - นักวิจยั ร่ วม ๓ โครงการ และผูช้ ่วยนักวิจยั ๗ โครงการ (พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๕๕) - สํารวจจารึ กท้ายคัมภีร์ใบลานในภาคเหนือจํานวน ๗ วัด (พ.ศ.๒๕๔๗ – ๒๕๕๕) - สํารวจจารึ กบนฐานพระพุทธรู ปไม้ในภาคเหนือจํานวน ๑๑ วัด (พ.ศ.๒๕๕๐ – ๒๕๕๕) - วิทยากรบรรยายและฝึ กอบรมทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมล้านนาจํานวน ๕๑ ครั้ง (พ.ศ.๒๕๔๓ – ๒๕๕๕)